วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552


คำกล่าวแนะนำบุคคลสำคัญ
นายคำ กาไวย์


คำประกาศเกียรติคุณ


นายคำ กาไวย์ เกิดเมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๗๗ ณ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นบุคคลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สืบสานพัฒนาสร้างสรรค์ศิลปะการแสดงพื้นบ้านล้านนาด้วยความรัก และทุ่มเทจนเป็ฯที่ประจักษ์แก่บุคคลทั่วไปว่าเป็นศิลปินที่มีความเชี่ยวชาญอย่างสูง ยิ่งในด้านการฟ้อนรำพื้นบ้านล้านนาแล้ว นายคำ กาไวย์ นอกจากเป็นศิลปินที่เชี่ยวชาญในด้านการตีกลองสะบัดชัย กลองปูเจ่ และยังมีความคิดสร้างสรรค์ประดิษฐ์ กระบวนฟ้อนรำแบบล้านนาที่มีชื่อเสียงหลายชุด เช่น ฟ้อนสาวไหมชาย-หญิง ฟ้อนเครื่องเขน ฟ้อนวี ฟ้อนดาบ ตามคำพรรรณนาในมหาชาติฉบับสร้อยสังกรณ์ ฯ เป็นศิลปินที่ได้รับการยกย่องสูงเด่นของลานนา นายคำ กาไวย์ จึงได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (การแสดงพื้นบ้าน - ช่างฟ้อน) ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๓๕



รางวัล & เกียรติคุณ


ปีที่ได้รับ ๒๕๓๕

ชื่อรางวัล รางวัล ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง(การแสดงพื้นบ้าน-ช่างฟ้อน)

หน่วยงานที่มอบ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
คำปราศรัย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
(นายแพทย์มงคล ณ สงขลา)
เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงสาธารณสุข
วันที่ 27 พฤศจิกายน 2549
----------------------------
สวัสดีครับ พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักทุกท่าน

นับตั้งแต่ล้นเกล้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้สถาปนากระทรวงสาธารณสุขขึ้นในปี 2485 จนมาถึงโอกาสวันคล้ายวันสถาปนากระทรวงสาธารณสุข ครบปีที่ 64 ในวันนี้ ถือได้ว่าความสำเร็จของกระทรวงสาธารณสุข ในการแก้ปัญหาสุขภาพของคนไทยเป็นที่ยกย่องชมเชยของทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการลดความรุนแรงของโรคเรื้อนและโรคเท้าช้าง การลดอัตราการตายของแม่และเด็ก การให้วัคซีนป้องกันโรคได้ครอบคลุมมากกว่าร้อยละ 90 การดูแลแก้ไขปัญหาเอดส์ให้ผู้ที่ติดเชื้อ เข้าถึงยาต้านไวรัสได้ปีละกว่าแสนคน เป็นอาทิ ดังนั้นในโอกาสนี้ ผมขอขอบคุณผู้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานสาธารณสุขทุกท่านที่ได้ปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็งมาโดยตลอด
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ด้านสุขภาพที่เปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ จะเห็นว่ามีโรคอุบัติใหม่ที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบันเพิ่มขึ้น ได้แก่ โรคไข้หวัดนกในคน และโรคอื่น ๆ ซึ่งต้องเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา และปัญหาสุขภาพหลักของคนไทยในขณะนี้ ได้เปลี่ยนเป็นปัญหาโรคเรื้อรังที่เกิดจากวิถีการดำเนินชีวิต และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ความเจ็บป่วยและพิการจากอุบัติเหตุบนท้องถนนจากการบริโภคสุรา ปัญหาภาวะโภชนาการเกินจากการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกต้องนำไปสู่โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรค-หลอดเลือด อัมพาต อัมพฤกษ์ รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น บุหรี่ การใช้สารเสพติด และพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ปลอดภัย

ดังนั้น การบริการสาธารณสุขที่ดีเพียงด้านเดียวไม่สามารถทำให้บรรลุเป้าหมายสุขภาพดีถ้วนหน้าได้ แต่จะต้องปรับมาเป็น การบริการสาธารณสุขบวกกับพลังทางสังคม ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด เพราะประชาชนคือเจ้าของสุขภาพเองและเรื่องสุขภาพอยู่ในทุกอณูของการดำเนินชีวิตและการทำงานทุกเรื่อง

อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขยังมีหน้าที่สานต่องานสำคัญเช่น โครงการตามพระราชดำริ โครงการเฉลิมพระเกียรติต่างๆ การพัฒนาสุขภาพประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาความไม่สงบและการจัดบริการต่างๆ ดังที่รัฐบาลได้กำหนดให้นโยบายด้านสุขภาพไว้ว่า จะมุ่งเน้นการพัฒนาสุขภาวะของประชาชนในทุกมิติ ทั้งกาย จิตใจ สังคม และปัญญา โดยพัฒนาระบบบริการให้ครอบคลุมเข้าถึงชุมชน ทั้งภาวะปกติและฉุกเฉิน ที่มีความสมดุลทั้งการสร้างสุขภาพ ป้องกันโรค รักษาพยาบาล และฟื้นฟูสมรรถภาพอย่างมีคุณภาพและเป็นธรรม

พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักทุกท่านครับ ในโอกาสนี้ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก ได้โปรดประทานพร ปกป้อง คุ้มครองพี่น้องประชาชน ขอให้มีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง สมบูรณ์ ถึงพร้อมด้วยจตุรพิธพรชัย สืบไป

คำกล่าวปิด
การเสวนาเครือข่ายจัดการความรู้ระหว่างมหาวิทยาลัย ครั้งที่ ๑๒ (๑/๒๕๕๑)
เรื่อง “การบริหารจัดการงานประจำสู่งานวิจัย (Routine to Research)
ในสถาบันอุดมศึกษาอย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพ”

ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร
อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล

ขอบคุณทุกๆ มหาวิทยาลัยเครือข่าย ที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมเสวนาฯ ในครั้งนี้ ผมเชื่อว่า R2R หรือ Routine to Research นั้น เป็นโครงการที่มีประโยชน์ โดยคำๆนี้เกิดขึ้นจากพวกเราชาวมหาวิทยาลัยเองที่ถูกมองจากสังคมว่า เป็นบ่อเกิดของวิชาการและงานวิจัย ย้อนหลังไปเมื่อ 7 ปี ที่แล้ว ในขณะนั้นผมยังดำรงตำแหน่งคณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้มีส่วนร่วมในการคิดริเริ่มโครงการ R2R ขึ้น แม้จะได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักวิจัยมืออาชีพ ว่า สิ่งที่ทำอยู่ไม่ใช่งานวิจัย เพราะงานวิจัยจริงๆน่าจะวิเคราะห์ให้ลึกกว่านี้ และเสียงอีกส่วนหนึ่งมาจากผู้ปฏิบัติงานประจำว่า ผู้บริหารให้ทำงานที่ยุ่งยากซับซ้อนเกินความสามารถของ พวกเขา โดยกลัวคำว่างานวิจัยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามพวกเราก็ยังคงยืนยันว่าจะต้องทำให้เกิด R2R ในโรงพยาบาลศิริราชให้ได้ ในที่นี้ผมจึงขอยืนยันว่า ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมในส่วนใด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการลดระยะเวลาในการทำงาน หรือการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นก็ตาม เหล่านี้ก็ถือว่าเป็นการวิจัยได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารชื่อดังเท่านั้น แต่ R2R เป็นได้ตั้งแต่งานวิจัยขนาดเล็กต่อยอดไปสู่งานวิจัยขนาดใหญ่ได้ หากมีการตั้งโจทย์ที่เจาะลึกลงไปเรื่อยๆ จึงขอเป็นกำลังใจให้ทุกสถาบัน ในการทำกิจกรรม R2R
ในปัจจุบันในวงการมหาวิทยาลัยมีคำกล่าวที่ว่า Good University teaches but Great University transforms people นั่นหมายความว่าขณะนี้การสอนไม่เน้นให้ตอบคำถามเพียง อย่างเดียว แต่เน้นให้“ถามเป็น”มากขึ้น ซึ่งคำถามจะกระตุ้นให้ค้นหาคำตอบ ค้นพบวิธีได้มาซึ่งคำตอบ เหล่านี้เองทำให้มหาวิทยาลัยกลายเป็นแหล่งภูมิปัญญาของประเทศ และสามารถพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง โดยบุคลากรทั้งหมดของมหาวิทยาลัยจะต้องมุ่งเป้าไปในทิศทางเดียวกัน คือ ต้องมีความคิดสร้างสรรค์จากงานประจำ
จากที่ผมเองมีส่วนร่วมในกิจกรรม R2Rของโรงพยาบาลศิริราชนั้น ในระยะเริ่มแรกเริ่มต้นขึ้นได้ที่หน่วย HA โดยพบว่าหลังจากเริ่มต้นไปได้ระยะหนึ่ง ก่อให้เกิดการรวมกลุ่มความถนัดขึ้นมาเกือบ 80 กลุ่ม ทำอย่างไรจึงจะต่อยอดไปสู่งานวิจัยได้ จึงนำกลุ่มทั้งหลายมาร่วมกันค้นคิดคำถามงานวิจัย โดยได้รับความร่วมมือจากหลายๆ ท่าน ไม่ว่าจะเป็น ศาสตราจารย์นายแพทย์วิจารณ์ พานิช อ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ ศาสตราจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี จึงขอเรียนให้ทุกท่านทราบว่า R2R ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากคนๆ เดียว จะต้องได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่ายโดยเฉพาะผู้บริหาร โดยในส่วนของผู้บริหารเองจะต้องลด command and control โดยใช้ให้น้อยลง ไม่เช่นนั้นจะเกิดนักวิจัยแบบ R2R ได้ยาก และสิ่งที่อยากจะฝากทุกๆ ท่านในวันนี้คือ ทุกท่านต้องกลับไปจุดไฟกระตุ้นผู้บริหาร ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารที่อยู่เหนือท่านขึ้นไป หรือแม้กระทั่งผู้บริหารระดับสูง ให้เห็นความสำคัญ โดยตัวผมเองโชคดีที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับ R2R ของโรงพยาบาลศิริราชตั้งแต่เริ่มต้น เพราะเห็นความสำคัญและเห็นประโยชน์ที่จะได้รับจากงานในส่วนนี้ ดังนั้นเมื่อได้รับตำแหน่งอธิการบดี จึงพยายามอย่างยิ่ง ที่จะผลักดันให้เกิด R2R ในทุกส่วนของมหาวิทยาลัย เพราะเกิดประโยชน์ในการพัฒนาหน้างานทั้งสิ้น และขอย้ำกับทุกๆ ท่านในที่นี้อีกครั้งว่า R2Rมิใช่กิจกรรมที่จะเกิดขึ้นได้ในโรงพยาบาลเท่านั้น โดยเฉพาะเรื่องการเรียนการสอนเป็นเรื่องแรกๆ ที่ควรจะทำให้เกิด R2R เพราะ Research in Education มีความสำคัญมาก
ขอให้การมารวมตัวกันในวันนี้กลายเป็นการก่อเกิด CoPs ของ R2R ซึ่งเราจะร่วมมือกัน ช่วยเหลือกัน และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน และสิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้สำหรับการตั้งต้น R2R นั้น ไม่อาจเกิดขึ้นได้จากคณะกรรมการเพียงชุดเดียว ต้องอาศัยคณะทำงานที่เข้มแข็งเพื่อคอยให้ความช่วยเหลือในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการให้กำลังใจและการสนับสนุน ด้านทรัพยากร ซึ่งผมเชื่อเหลือเกินว่า แต่ละมหาวิทยาลัยมีวัฒนธรรมที่คล้ายๆ กัน คือ Leadership คุณธรรมจริยธรรม ความเป็นมืออาชีพและนวัตกรรม ถ้าทุกๆ มหาวิทยาลัยทำให้เกิดขึ้นได้แล้วกระจายออกไปสู่สังคม เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าประเทศไทยจะเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปอย่างแน่นอน
สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณและฝากความหวังไว้กับทุกๆ ท่านว่า เราจะยังคงร่วมมือกับเครือข่ายนี้ต่อไป จะติดตามผลการดำเนินการ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอย่างต่อเนื่อง ให้เกิดเป็น Learning Organization ที่ชัดเจน ผมเชื่อว่าพวกเราทำได้และขอขอบคุณผู้จัดงานในครั้งนี้ ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการดำเนินงานในหน่วยงานของท่านให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ขอบคุณครับ

คำกล่าวเปิดงาน
งานประเพณีลอยกระทง มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ประจำปี ๒๕๔๗
วันพฤหัสบดีที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๗
ณ ริมห้วยทราย บริเวณป้ายมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
-----------------------------------------------
เรียน รองอธิการบดี คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ นักศึกษา คณะกรรมการจัดงานและแขก
ผู้มาร่วมงานทุกท่าน
ดิฉันรู้สึกยินดี และเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดงานประเพณีลอยกระทง มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ประจำปี ๒๕๔๗ ในครั้งนี้
ดิฉันขอแสดงความชื่นชมคณะกรรมการจัดงาน องค์การบริหารนักศึกษา สภานักศึกษา สโมสรนักศึกษาทุกคณะ ทั้งภาค กศ.ป. และภาค ปกติ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงผู้มาร่วมงานทุกท่าน ที่ให้ความสำคัญ ได้ร่วมกันสืบทอดประเพณีอันดีงามของไทยเราเอาไว้ ทำให้เด็กรุ่นหลังได้รู้จักกับประเพณีลอยระทงและได้ร่วมกันสืบทอดต่อไป
ดิฉันขออวยพรให้คณะกรรมการจัดงาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงาน ผู้มาร่วมงานทุกท่าน จงประสบแต่ความสุขความเจริญ และขอให้การดำเนินงานในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ทุกประการ
บัดนี้ ได้เวลาอันสมควรแล้ว ดิฉันขอเปิดงานประเพณีลอยกระทง มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ประจำปี ๒๕๔๗ ณ บัดนี้

คำกล่าวรายงาน ของประธานการจัดการแข่งขัน เนื่องในพิธีเปิด การแข่งขันกีฬานักเรียน โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม จังหวัดปัตตานี ครั้งที่ 3 ประจำปี 2547 วันที่ 19 เดือน สิงหาคม 2547 ณ สนามกีฬากลาง จังหวัดปัตตานี

กราบเรียน ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีที่เคารพอย่างสูงกระผมในนามของคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬานักเรียนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ประจำปี 2547 ตลอดจน คณะนักกีฬา กองเชียร์ และครูผู้ควบคุมทีม ซึ่งพร้อมกันอยู่ ณ ที่นี้ ขอขอบคุณท่านผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี เป็นอย่างสูง ที่ได้กรุณาให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีเปิดการแข่งขัน และขอถือโอกาสนี้ กราบเรียนวัตถุประสงค์ ตลอดจนการดำเนินการในด้านต่างๆ เพื่อโปรดทราบพอสังเขปดังนี้ การแข่งขันกีฬานักเรียนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ของจังหวัดปัตตานี ได้จัดการแข่งขันติดต่อกันมาเป็นประจำทุกปี ตามมติของชมรมผู้บริหารโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม และศูนย์การกีฬาแห่งประเทศไทย จังหวัดปัตตานี โดยให้ทุกกลุ่มกีฬาผลัดเปลี่ยนกัน เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 กลุ่มโคกโพธิ์เป็นเจ้าภาพร่วมกับศูนย์การกีฬาแห่งประเทศไทยจังหวัดปัตตานี จัดให้มีการแข่งขัน ในระหว่างวันที่ 16-19 สิงหาคม 2547 มีโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ที่เปิดสอนวิชาศาสนาควบคู่สามัญ เข้าร่วมแข่งขัน รวม 55 โรงเรียน มีนักเรียนทั้งสิ้น 36,442 คน โดยแบ่งโรงเรียนทั้งหมดออกเป็น 11 กลุ่มกีฬา ดังนี้
1. กลุ่มยะรัง อำเภอยะรัง มี 7 โรงเรียน
2. กลุ่มบายูดารุสสลาม อำเภอทุ่งยางแดง มี 4 โรงเรียน
3. กลุ่มอิบนู บะห์รี อำเภอปะนาเระ มี 2 โรงเรียน
4. กลุ่มลาโตบาโบเค-แมส อำเภอปะนาเระ อำเภอยะหริ่ง มี 5 โรงเรียน
5. กลุ่มหนองจิกสัมพันธ์ อำเภอหนองจิก มี 4 โรงเรียน
6. กลุ่มสลินดงบายู อำเภอสายบุรี อำเภอไม้แก่น มี 5 โรงเรียน
7. กลุ่มมะดีนะห์ อำเภอเมือง มี 5 โรงเรียน
8. กลุ่มบะดัร อำเภอเมือง มี 4 โรงเรียน
9. กลุ่มมายอสามัคคี อำเภอมายอ มี 7 โรงเรียน
10. กลุ่มสายบุรี อำเภอสายบุรี มี 5 โรงเรียน
11. กลุ่มโคกโพธิ์ อำเภอโคกโพธิ์ มี 7 โรงเรียนกีฬาที่จัดให้มีการแข่งขัน มี 8 ประเภทกีฬา ได้แก่ฟุตบอลชาย เซปัคตะกร้อชาย แฮนด์บอลหญิง แชร์บอลหญิง วอลเลย์บอลชายและหญิง แบดมินตันชายและหญิงเดี่ยว เทเบิลเทนนิสชายและหญิงเดี่ยว เปตองทีมชายและทีมหญิง และปีนี้จัดให้มีกรีฑาชายประเภทลู่ เพิ่มขึ้นด้วย สนามที่ใช้ทำการแข่งขันการแข่งขันมี 4 สนาม ได้แก่ สนามโรงเรียนเบญจมราชูทิศ สนามโรงเรียนเดชะปัตตนยานุกูล สนามมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี และสนามกีฬากลางการจัดการแข่งขันกีฬานักเรียนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม มีวัตถุประสงค์ ดังนี้
1. เพื่อส่งเสริมให้นักเรียน ได้มีโอกาสเล่นและแข่งขันกีฬาอย่างทั่วถึง
2. เพื่อให้นักเรียนได้ตระหนักถึงประโยชน์และคุณค่าของการเล่นกีฬา สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
3. เพื่อส่งเสริมและพัฒนาเจตคติของนักเรียนสู่พฤติกรรมที่พึงประสงค์ โดยใช้กิจกรรมกีฬาเป็นสื่อ ในการป้องกันยาเสพติด
4. เพื่อให้นักเรียน ได้รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
5. เพื่อเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ไมตรี ระหว่างโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามด้วยกันการจัดการแข่งขันกีฬานักเรียนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนพร้อมทั้งให้คำปรึกษาจาก บุคคล หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน โดยเฉพาะองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณ จำนวน 300,000 บาท รวมทั้งอำนวยความสะดวกในเรื่องต่างๆ เป็นอย่างดียิ่ง จึงขอขอบคุณทุกท่านทุกหน่วยงานเป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ด้วย เพื่อเป็นการตอบแทนต่อ บุคคล หน่วยงาน ที่สนับสนุน ให้การจัดการแข่งขันกีฬานักเรียนโรงเรียนเอกชน ครั้งนี้ ดำเนินไปด้วยดี บรรลุตามวัตถุประสงค์ จึงขอกราบเรียนเชิญท่านประธาน ได้โปรดมอบเกียรติบัตรให้แก่บุคคล และหน่วยงานต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี
2. นายกเทศมนตรีเมืองปัตตานี
3. นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดปัตตานี
4. ผู้จัดการบริษัทหาดทิพย์จำกัด
5. รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
6. ผู้อำนวยการโรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดปัตตานี
7. ผู้อำนวยการโรงเรียนเดชะปัตตนยานุกูล
8. ผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนเจริญศรีศึกษา
9. ผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนวรคามินทร์อนุสรณ์
10. ผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนจิปิภพพิทยา
11. ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี
12. ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคปัตตานีบัดนี้ ได้เวลาอันสมควรแล้ว กระผมขอกราบเรียนเชิญท่านประธาน ได้โปรดให้โอวาทแก่นักกีฬาและกล่าวเปิดการแข่งขันกีฬานักเรียนโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม ของจังหวัดปัตตานี ประจำปี 2547 ต่อไป (ขอเรียนเชิญ )

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สปอร์ตโฆษณา รณรงค์สร้างจิตสำนึกวัยรุ่น
เรื่อง หยุด! พฤติกรรมเสี่ยง “เด็กแวนซ์ และเด็กสก๊อยซ์”
เวลา 30 วินาที
เขียนบทโดย นางลัดดาวรรณ วงษ์แพทย์


ภาพ
ECU: ภาพใบหน้าของเด็กชายคนหนึ่ง
DS: ภาพเด็กชายกลับเข้าบ้านหลังเลิกเรียน เดินเข้าภายในบ้านพร้อมโชว์สมุดขึ้นเล่มหนึ่ง
CU: พ่อแม่ของเด็กชายนั่งอยู่ที่โซฟา ภายในบ้านแล้วหันมามองหน้าลูกชายด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
MS: ภาพเด็กชายนั่งอยู่ระหว่างกลางพ่อแม่ (ตัดภาพ)
CU: ใบหน้าของพ่อแม่ที่ยิ้มแย้มดีใจที่ลูกสอบเข้าเรียนตามที่อยากเรียนได้ (ตัดภาพ)
LS: บรรยากาศตอนกลางคืน วัยรุ่นกำลังจับกลุ่มแข่งรถจักรยานยนต์บนท้องถนนอย่างคึกคะนอง
LS: เด็กชายพาเพื่อนหญิงซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มาเพื่อเข้ากลุ่มแข่งรถฯ แล้วพบกับกลุ่มวัยรุ่นที่จอดรออยู่
CU: หน้าของเด็กชาย

CU: หน้าของวัยรุ่นที่ท้าแข่งรถฯ
MS: ภาพเด็กชายกับพวกวัยรุ่นจับมือกัน
LS: ภาพบรรยากาศการแข่งขันรถจักรยานยนต์
LS: ภาพรถยนต์ตัดหน้ารถจักรยานยนต์ของเด็กชาย
DS: ภาพใบหน้าพ่อแม่ของเด็กชายนั่งร้องไห้
CG: ตัวหนังสือ “หยุด! พฤติกรรมเสี่ยงของคุณ ด้วยการไม่ทำให้คนที่คุณรัก “เสียใจ” ”




บรรยายภาพ / เสียง
เพลงบรรเลง
“กลับมาแล้วครับ ผมมีข่าวดีมาบอก”
“ว่าไงจ๊ะลูกรัก”
“ผมสอบผ่านได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียน.......... แล้วครับคุณพ่อคุณแม่”
“ไหนบอกพ่อกับแม่ซิว่าลูกอยากได้อะไรเป็นของขวัญ”
เสียงบรรยากาศตอนแข่งรถฯ
“เฮ้ย !!! โอ้โฮ ได้รถฯมาใหม่ซะด้วย แถมมีหญิงซ้อนท้ายมาอีกต่างหากแฮะ สนใจแข่งประลองความเร็วกันหน่อยมั้ยล่ะ กล้าหรือป่าว”
“ได้ แล้วจะมีอะไรเป็นรางวัลล่ะ รถของเราเพิ่งถอยมาใหม่แรงกว่ารถฯพวกนายอยู่แล้ว”
“ถ้าใครชนะได้ควงหญิงของอีกฝ่าย สนใจมั้ยล่ะ”
“ได้ ตกลงตามนั้น”
เสียงบรรยากาศการแข่งขันฯ
เสียงสัญญาณรถพยาบาล
เสียงเพลงทางเลือก ศิลปินอีโบล่า (Ebola)
บรรยาย: หยุด พฤติกรรมเสี่ยงของคุณ ด้วยการไม่ทำให้คนที่คุณรักต้องเสียใจ
บทวิทยุรายการ ทำดีเพื่อพ่อ แทนคุณแผ่นดิน
เรื่อง บริหารด้วย “พระเดชพระคุณ”
ออกอากาศ สถานีวิทยุกระจายเสียง ๙๑๒ สนภ.๔ นทพ. จ.นราธิวาส
ระบบ เอ.เอ็ม. ความถี่ ๗๕๖ กิโลเฮิรตซ์ และ เอฟ.เอ็ม. ความถี่ ๙๙.๑๐ เมกกะเฮิรตซ์
วัน/เวลา
๑ ส.ค. ๕๒
ดำเนินรายการ พ.ต.หญิงสุพรทิพย์ คำทรงศรี
เขียนบท น.ส.ฟาซียะห์ ตาเยะ


ผู้จัดรายการ
จิงเกิ้ลรายการ ทำดีเพื่อพ่อ แทนคุณแผ่นดิน
สวัสดีคะคุณผู้ฟัง รายการ"ทำดีเพื่อพ่อแทนคุณแผ่นดิน" ทางวส.๙๑๒ สนภ.๔ นทพ. จังหวัดนราธิวาส ในระบบ เอฟ.เอ็ม. ความถี่ ๙๙.๑๐ เมกกะเฮิรตซ์ และ ระบบ เอ.เอ็ม.ความถี่ ๗๕๖ กิโลเฮิรตซ์ ในช่วงเวลา ๑๖.๐๐ น - ๑๖.๓๐ น. โดยมี ดิฉัน สุพรทิพย์ คำทรงศรี เป็นผู้ดำเนินรายการ รายการที่ส่งเสริมให้ทุกคนทำความดี ความดีอะไรก็ได้ ที่ไม่ต้องยิ่งใหญ่ อาจจะเป็นความดีเล็ก ๆ แต่เมื่อทำแล้ว ได้สร้างความสุขให้กับตนเอง ครอบครัว และสังคมต่อไปคะ
เพลง………………………… คุณผู้ฟังค่ะ คนส่วนมากเชื่อว่า คนจะมีอำนาจได้นั้นต้องเป็นคนที่มียศถาบรรดาศักดิ์หรือมีตำแหน่งสูงๆ เท่านั้น ซึ่งนั้นเป็นการมองในมุมเดียว อันได้แก่อำนาจตามตำแหน่งหน้าที่หรือพระเดช ซึ่งก็ไม่แปลก เพระมันเป็นอะไรที่เห็นได้ชัดที่สุด อำนาจตามตำแหน่งหน้าที่ คืออำนาจตามบทบาทที่ยอมรับกันในการให้คุณหรือให้โทษแก่ผู้อื่น หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ อำนาจที่กำหนดโดยองค์กรและบทบาทน้าที่ของงานที่ทำอยู่ อำนาจมีผลในการตกรางวัลหรือคาดโทษบุคคลที่ทำงานไม่สำเร็จ การมีอำนาจตามตำแหน่งหน้าที่มากๆ ใช่ว่าเป็นสิ่งที่ดีเสมอไป ถ้าเรารู้ว่าตำแหน่งที่เราเป็นอยู่มีอำนาจมากการกระจายอำนาจออกเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ไม่เช่นนั้น ทุกกการตัดสินใจต้องวิ่งมารอที่เราคนเดียว และโดยหลักการปฏิบัติแล้ว ความรับผิดชอบของคนที่อยู่ในตำแหน่งสูง คือการวางแผนและการวางนโยบายให้แก่องค์กรมากกว่าการตัดสินใจในเรื่องที่เป็นงานประจำวัน ถ้าไม่มีการกระจายอำนาจ ถนนทุกสายก็จะมุ่งตรงมาที่ผู้นำเพื่อรอการตัดสินใจ บทหนักจะตกมาอยู่ที่ผู้นำ วันๆ ไม่ต้องทำอะไรนอกจากนั่งเป็นเจ้าที่ คอยตัดสินใจให้แก่ลูกน้องในแต่ละเรื่อง ซึ่งจะส่งผลให้เวลาในการทำงานกับหน้าที่ที่ควรทำน้อยลงและสุดท้ายก็จะมาจบลงตรงที่ ขนงานของตัวเองกลับไปทำต่อที่บ้าน ทำให้ความสมดุลในเรื่องงานและส่วนตัวสูญเสียไป ดังนั้นการมีอำนาจตามตำแหน่งหน้าที่ ยิ่งมีมากเท่าไร ยิ่งควรกระจายออกไปมากเท่านั้น คนส่วนมากเชื่อว่า คนจะมีอำนาจได้นั้นต้องเป็นคน
ผู้จัดรายการ
ที่มียศถาบรรดาศักดิ์หรือมีตำแหน่งสูงๆ เท่านั้น ซึ่งนั้นเป็นการมองในมุมเดียว อันได้แก่อำนาจตามตำแหน่งหน้าที่หรือพระเดช ซึ่งก็ไม่แปลก เพระมันเป็นอะไรที่เห็นได้ชัดที่สุด
เพลง..............................
อำนาจตามตำแหน่งหน้าที่ คืออำนาจตามบทบาทที่ยอมรับกันในการให้คุณหรือให้โทษแก่ผู้อื่น หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ อำนาจที่กำหนดโดยองค์กรและบทบาทน้าที่ของงานที่ทำอยู่ อำนาจมีผลในการตกรางวัลหรือคาดโทษบุคคลที่ทำงานไม่สำเร็จ การมีอำนาจตามตำแหน่งหน้าที่มากๆ ใช่ว่าเป็นสิ่งที่ดีเสมอไป ถ้าเรารู้ว่าตำแหน่งที่เราเป็นอยู่มีอำนาจมากการกระจายอำนาจออกเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ไม่เช่นนั้น ทุกกการตัดสินใจต้องวิ่งมารอที่เราคนเดียว และโดยหลักการปฏิบัติแล้ว ความรับผิดชอบของคนที่อยู่ในตำแหน่งสูง คือการวางแผนและการวางนโยบายให้แก่องค์กรมากกว่าการตัดสินใจในเรื่องที่เป็นงานประจำวัน ถ้าไม่มีการกระจายอำนาจ ถนนทุกสายก็จะมุ่งตรงมาที่ผู้นำเพื่อรอการตัดสินใจ บทหนักจะตกมาอยู่ที่ผู้นำ วันๆ ไม่ต้องทำอะไรนอกจากนั่งเป็นเจ้าที่ คอยตัดสินใจให้แก่ลูกน้องในแต่ละเรื่อง ซึ่งจะส่งผลให้เวลาในการทำงานกับหน้าที่ที่ควรทำน้อยลงและสุดท้ายก็จะมาจบลงตรงที่ ขนงานของตัวเองกลับไปทำต่อที่บ้าน ทำให้ความสมดุลในเรื่องงานและส่วนตัวสูญเสียไป ดังนั้นการมีอำนาจตามตำแหน่งหน้าที่ ยิ่งมีมากเท่าไร ยิ่งควรกระจายออกไปมากเท่านั้นแต่คุณรู้หรือไม่ว่า อำนาจตามตำแหน่งหน้าที่นี้ เป็นอะไรที่ไม่จีรังยั่งยืน มาง่ายและไปง่ายกว่าอำนาจเฉพาะบุคคลหรือพระคุณคนคนหนึ่งสามารถมีตำแหน่งการงานก้าวหน้าไปได้เรื่อยๆ และสิ่งที่ตามมาคืออำนาจตามตำแหน่งหน้าที่ แต่เมื่อครั้นบุคคลผู้นี้เกษียณหรือมีเหตุที่ทำให้หลุดพ้นออกจากตำแหน่งอำนาจนี้ก็จะหายไปในทันที ถึงตอนนี้อาจมีหลายคนเริ่มเถียงแล้วว่า ไม่จริง ผู้ที่เกษียณอายุออกมาหลายคนยังได้รับการยกย่องและความเกรงอกเกรงใจอยู่ แต่การยกย่องและความเกรงใจที่เขาได้รับนั้น หาได้มาจากอำนาจ ตามตำแหน่งหน้าที่ไม่ หากแต่มาจากอำนาจเฉพาะบุคคลของเขาต่างหาก อำนาจเฉพาะบุคคล คืออำนาจที่ผู้คนรอบข้างมอบให้ ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อมั่นและการได้รับความนับถือจากผู้อื่น – ความสามารถในการสร้างความสวามิภักดิ์และพันธสัญญา - คุณเคยสังเกตไหมว่าทำไมคนบางคนแค่เพียงเอ่ยถึงปัญหาหรือความกังวลที่เขามี ทุกคนที่อยู่รอบข้างก็ไม่รีรอที่จะยื่นมือเข้ามาช่วย แต่ในขณะที่อีกคนหนึ่งแค่เพียงทำให้คนรอบข้างยอมรับ ก็เป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญเสียแล้วเพลง…………………………
ผู้จัดรายการ
คุณผู้ฟังค่ะผู้นำที่ประสบความสำเร็จหาใช่ผู้นำที่เลือกระหว่างการใช้ “พระเดช” ที่มาพร้อมกับอำนาจตามตำแหน่งหรือการใช้ “พระคุณ” อันเป็นพื้นฐานของการสร้างอำนาจเฉพาะตน หากแต่ผู้นำที่ประสบความสำเร็จคือผู้นำที่สามารถสร้างสมดุลระหว่างการใช้ “พระเดช” และ “พระคุณ” อย่างมีประสิทธิภาพต่างหาก
รายการทำดีเพื่อพ่อ แทนคุณแผ่นดิน จะกลับมาพบกับ คุณผู้ฟังอีกครั้งในวันต่อไป ทั้ง ๒ ระบบ ที่คลื่นความถี่ดังกล่าว เวลา ๑๖๐๐ - ๑๖๓๐ และก่อนจากกันในวันนี้ คุณผู้ฟังท่านใดที่มีเรื่องราวของการทำความดี หรือ พบเห็นการทำความดี สามารถนำเรื่องเหล่านี้มาแบ่งปัน เป็นความสุขใจแก่กันและกันได้ โดยส่งบทความมาที่ วส.๙๑๒ สนภ.๔ นทพ. อ.เมือง จ.นราธิวาส และ ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมกันทำความดี ถวายในหลวง ของเรา นะค่ะ สวัสดีคะ

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552


"สารคดีท่องเที่ยว เรื่อง กาญจนบุรี เส้นทางของคนชอบลุย"


ความสวยงามของเมืองโบราณ ด่านเจดีย์ มณีเมืองกาญจน์ สะพานข้ามแม่น้ำแคว แหล่งแร่ น้ำตก


คำขวัญนี้หลายท่านอาจร้องอ๋อแล้วว่าคือจังหวัดใด จังหวัดนี้ที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ความน่าสนใจในความทรงจำของข้าพเจ้าอีกเมืองหนึ่งจนอยากจะกลับไปฟื้นฟูความทรงจำในวันนั้นอีกครั้ง เมื่อนึกถึงภาพที่เคยผ่านมายิ่งทำให้รู้สึกถึงบรรยากาศและความทรงจำเดิมๆที่ทำให้นึกถึงอยู่ตลอด หลายๆครั้งที่ข้าพเจ้ามาที่นี้ ความรู้สึกที่ตื่นเต้นและความสวยงามของเมืองแห่งนี้เป็นที่น่าสนใจอย่างมาก มีทั้งความประทับใจ ความอับอาบ ความสุข ความสนุกผสมผสานรวมกันทุกความรู้สึก จังหวัดนี้มีสภาพพื้นที่เป็นเทือกเขาสูงโอบล้อมนั้นคือเมืองกาญจนบุรี
กาญจนบุรีถือเป็นเมืองท่องเที่ยวที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทิวเขาสลับซับซ้อน เป็นเมืองที่มีอุทยานแห่งชาติมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย เป็นเมืองที่มีเขื่อนขนาดใหญ่หลายเขื่อน นอกเหนือจากเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอย่างยาวนานไม่ว่าจะเป็นปราสาทเมืองสิงห์ เส้นทางรถไฟสายมรณะ สะพานข้ามแม่น้ำแคว น้ำตกไทรโยค ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของสีสันที่ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างข้าพเจ้าประทับใจและยังมีนักท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวที่นี้หลายแสนคนในแต่ละปี กาญจนบุรีถือเป็นเมืองท่องเที่ยวทางธรรมชาติโดยแท้ ข้าพเจ้าเองเคยเดินทางไปเมืองกาญจนบุรีประมาณ 2-3 ครั้ง แต่ละครั้งก็ล้วนแต่อยู่ในเขตพื้นที่ท่องเที่ยวหรือไม่ก็ไปเที่ยวเทือกเขาสูงที่อยู่ในความยิ่งใหญ่ของโลกธรรมชาติและส่วนใหญ่เราจะรับรู้ในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำตกหลายสาย สวยงามยิ่งนัก หนึ่งในน้ำตกสายใหญ่ที่สุดคือ น้ำตกไทรโยค มีทั้งน้ำตกไทรโยคใหญ่หรือน้ำตกเขาโจนและน้ำตกไทรโยคน้อยหรือน้ำตกเขาพัง ล้วนแต่น่าสนใจ สายน้ำที่มองเห็นน้ำใส เวลาเราสัมผัสน้ำเย็นจับใจ สามารถลงเล่นได้อย่าสบายกายสบายใจเลย น้ำตกทั้งสองแห่งนี้มีความสวยงามมากที่สุดอีกที่หนึ่ง โดยน้ำตกจะไหลลงมาจากลห้วยสู่แม่น้ำแควน้อย โดยน้ำตกจะมีน้ำไหลตลอดทั้งปีและที่สำคัญฤดูแล้งน้ำตกจะมีความสูงเพิ่มมากยิ่งขึ้นเนื่องจากระดับน้ำในแม่น้ำแควน้อยลดระดับลงทำให้มีสะพานแขวน สะพานนี้ใช้สำหรับข้ามไปชมทัศนียภาพของน้ำตกและลำน้ำที่สวยงามของน้ำตกไทรโยคและที่สำคัญอยากให้ทุกคนได้ลองมาเล่นชมความงามยากเกินจะบรรยายของน้ำตกแห่งนี้ และเมื่อเราเล่นน้ำตกจนพอแล้วเต็มอิ่มไปด้วยความสุขสนุกกันแล้ว เราก็เริ่มต้นเดินทางไปเที่ยวกันต่อเลย โดยเริ่มต้นจากสะพานที่มีชื่อเสียงความความสวยงามไม่แพ้สะพานอื่นๆเลยก็คือ สะพานข้ามแม่น้ำแคว โดยเป็นสถานที่อีกที่หนึ่งที่น่าสนใจของจังหวัดนี้อีกที่หนึ่ง โดยเราจะมาทำความรู้จักสะพานแห่งนี้กันให้มากกว่านี้กันเลยเพื่อที่เราจะได้ทราบถึงประวัติและความเป็นมาของสะพานแม่น้ำแควกันเลยดีกว่า สะพานข้ามแม่น้ำแคว เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่ง โดยสร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกพันธมิตรได้แก่ ทหารอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลีย และฮอลันดา จำนวนมากมายมาสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ผ่านประเทศพม่า โดยมีส่วนหนึ่งจะต้องข้ามแม่น้ำแควใหญ่ การสร้างสะพานและทางรถไฟสายนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะความทารุณของสงครามและโรคภัยตลอดจนขาดสารอาหาร บ้างก็ทำให้เชลยศึกจำนวนหลายหมื่นคนต้องเสียชีวิตลง สะพานข้ามแม่น้ำแควตั้งที่ตำบลท่ามะขาม อำเภอเมือง โดยห่างจากตัวเมือง โดยห่างจากตัวเมืองไปทางทิศเหนือและตามทางหลวงหมายเลข 323 ไปเพื่อนๆก็จะได้พบสะพานข้ามแม่น้ำแควกันแล้วและเมื่อมาสะพานแม่น้ำแควก็จะพบกับรถไฟสายมรณะนะค่ะ โดยรถไฟสายมรณะจะเริ่มต้นจากสถานีหนองปลาดุก อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี วิ่งผ่านมาเรื่อยๆจนกระทั่งถึงจังหวัดกาญจนบุรีข้ามแม่น้ำแควใหญ่ไปทางทิศตะวันตกจนถึงด่านเจดีย์สามองค์ที่เมืองตันบูซายัค ประเทศพม่า รวมระยะทางในเขตประเทศไทยประมาณ 300 กิโลเมตร โดยใช้เวลาในการสร้างทารถไฟเพียง 1 ปีเท่านั้นโดยเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2485 ถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2486 โดยทางรถไฟและรถไฟสายมรณะนี้จะใช้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ผ่านประเทศพม่า หลังสงครามเสร็จสิ้นลงทางรถไฟบางส่วนถูกเลาะทิ้ง บางส่วนจมอยู่ใต้ทะเลสาบเขื่อนเขาแหลม โดยทางรถไฟสายนี้ถือเป้นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงเหตุการณ์สงครามในครั้งนั้นโดยสร้างจากน้ำพักน้ำแรงของการบุกเบิกก่อสร้างของทหารที่เป็นเชลยศึกฝ่ายพันธมิตรที่กองทัพญี่ปุ่นเกณฑ์มา โดยที่ข้าพเจ้าไปนั้นได้นั่งรถไฟเพียงแค่สถานีเดียวแต่ความรู้สึกเหมือนยาวนานมากประมาณ 1 ชั่วโมง โดยทิวทัศน์ตลอดเส้นทางนั้นที่รถไฟแล่นผ่านนั้นสวยงามมากโดยเฉพาะบริเวณถ้ำกระแซ ที่เส้นทางรถไฟสายมรณะจะลัดเลาะไปตามเชิงผาเลียบไปกับลำน้ำแม่น้ำแควน้อยนั้นสวยงามอย่างมากและน่าตื่นเต้นที่สุด เหมาะอย่างยิ่งกับคนที่ชอบความท้าทายโดยที่เวลาเรามองลงไปยิ่งสร้างความตื่นเต้น น่ากลัวกลัวว่าเราจะตกลงไปเหมือนกับเวลาที่เรายืนตรงหน้าผามองลงไปเราเหมือนกับเรากำลังจะตกลงไปด้วย เหมือนกับที่เรามองลงไปที่แม่น้ำที่รถไฟแล่นผ่านไปมันช่างน่ากลัวมากแต่ภายในความน่ากลัวนั้นก็แฝงไปด้วยความสวยงามของทั้ง 2 ข้างทาง โดยข้างหนึ่งจะเป็นแม่น้ำและอีกฝั่งหนึ่งจะเป็นหินผา เป็นความประทับใจที่น่าจดจำอย่างยิ่งแก่ผู้พบเห็นตลอดระยะเวลา 1 ชั่วโมงเต็ม ยิ่งประทับใจและน่าเที่ยวชมอีกรอบหรืออีกหลายๆรอบ และเมื่อถึงสถานีที่ที่จะต้องลงสถานีหน้าแล้วยิ่งทำให้ไม่อยากที่จะลงเพราะความสวยงามของทิวทัศน์ข้างทางที่สร้างความประทับใจอย่างมาก และเมื่อข้าพเจ้าลงรถไปสายมรณะแล้วก็เวลาจวนใกล้ค่ำ พระอาทิตย์เริ่มสาดแสงส่องลิบลี่ลงทุกที เสียงนกกาเริ่มร้องมาเพื่อที่จะกลับรัง ถึงเวลาที่เราต้องกลับไปที่พักแล้วซิ เพราะที่พักของข้าพเจ้ากับสถานีนี้มันก็อยู่ไกลกันพอสมควรเพราะฉะนั้นเราควรที่จะกลับกันได้แล้ว
เมื่อถึงที่พักทุกคนต่างแยกย้ายกันไปพักบ้างก็นอนเต็นท์บ้างก็นอนห้องพักที่โรงแรม พอตกกลางคืนแสงจันทร์อันนวลผ่องก็สาดแสงมาให้เราได้พบเห็นความสวยงามของมัน พระจันทร์ที่นวลผ่องส่องแสงลงมา ลมพัดเย็นสบายเหมือนกับกำลังร้องเรียกให้เราบินไปกับมัน แต่พอเดินมาเจอเพื่อนๆที่ต่างนั่งรอเล่นรอบกองไปอยู่นั้นข้าพเจ้าก็ได้เห็นแสงไปส่องมาแต่ไกลนั้นคือไฟที่กำลังลุกโชดช่วงชัชวาลอยู่นั้นเอง เพื่อนๆและตัวข้องข้าพเจ้าเองก็นั่งเล่นรอบกองไฟอย่างสนุกสนาน เมื่อตกดึกดวงดาวต่างๆก็สาดแสงส่องลอดลงมาใต้พุ่งไม้ และดอกไม้เป็นเงาอย่างสวยงาม บ้างก็เป็นรูปสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นกวาง ช้าง หรือสัตว์ต่างๆอีกมากมายนึกถึงว่าเหมือนกับเราได้ไปเที่ยวสวนสัตว์กันในเวลากลางคืนอีกด้วย หิ้งห้อยเริ่มบินลอยวนรอบๆตัวเราบ้างก็มีที่ต้นไม้ ดอกไม้เพิ่มสีสันในยามราตรีให้สวยงามมากยิ่งขึ้น ชวนให้ผู้พบเห็นหลับตาไม่ลงเพราะความสวยงามในยามราตรีสาดแสงเดือน แต่ในวันนี้ข้าพเจ้าต้องขอพักการเดินทางท่องเที่ยวไว้แค่นี้เพราะวันนี้ข้าพเจ้าหน่อยแต่ก็สนุกสนานมากแต่ในวันพรุ่งนี้เราจะมาเริ่มเดินทางท่องเที่ยวกันต่อไปเพราะในวันพรุ่งนี้ยังมีความน่าตื่นเต้น ความสุข ความสนุกรอเราอยู่ในวันพรุ่งนี้
เช้าวันใหม่แลเห็นแสงอาทิตย์สาดส่องต้นไม้ ดอกไม้ มาจากสถานที่ไกลโพ้น ความพลิ้วไหวของทุ่งหญ้าและดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์สีสันสดใสที่ต้องกระแสลม ภาพนั้นมันพาให้อารมณ์นั้นมันหลุดลอยไปไกลแสนไกล ตามกระแสลมไปจนยากที่จะดึงความรู้สึกนั้นคืนกลับมา โดยในตอนนั้นเราจินตนาการว่าเราสิ่งเล่นไปตามทุ่งหญ้าอันสีเขียวขจีและท่ามกลางดอกไม้อันหลากหลายสีสันสดใส จนลืมนึกถึงการอาบน้ำเพื่อที่จะออกเดินทางท่องเที่ยวกันต่อไป โดนวันนี้เราวางโปรแกรมท่องเที่ยวกันไว้ว่า วันนี้เราจะไปชมสุสานสัมพันธมิตร ต่อจากนั้นก็จะไปช่องเขาขาดและตอนกลางคืนเราก็จะไปล่องแพกัน ถ้างันวันนี้เราไปสนุกสนานกันต่อเลยดีกว่า โดยเริ่มต้นกันที่สุสานทหารสัมพันธมิตร สุสานแห่งนี้มีประวัติที่น่ากลัวกันเลยทีเดียว เพราะเกิดจากการเกณฑ์ทหารพันธมิตรมาสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ผ่านกาญจนบุรีไปประเทศพม่าของกองทัพญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นเหตุให้เชลยศึกสัมพันธมิตรเสียชีวิตลงด้วยเหตุต่างๆที่จังหวัดกาญจนบุรีเป็นจำนวนมาก ดังนั้นชาวไทยจึงได้อุทิศที่ดินให้เป็นที่ฝังศพของผู้เสียชีวิต ซึ่งมีอยู่ 2 แห่ คือ สุสานกาญจนบุรีหรือดอนรัก อยู่บริเวณหลังรถไฟจังหวัดกาญจนบุรี โดยสุสานนี้ห่างจากตัวเมืองออกไปทางทิศเหนือประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นสุสานที่มีความสวยงามและความเงียบสงบ และสุสานแห่งนี้บรรจุศพทหารที่เป็นเชลยศกถึง 6982 หลุม และสุสานอีกแห่งหนึ่งก็คือสุสานเขาปูนหรือเรียนอีกอย่างหนึ่งว่าสุสานช่องไก่ บริเวณสุสานนี้เคยเป็นที่ตั้งค่ายเชลยศึกขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปทางแม่น้ำแควน้อยประมาณ 2 กิโลเมตร โดยสามารถเดินทางได้หลายเส้นทางไม่ว่าจะเป็นทางรถยนต์ส่วนตัวเหมือนกับตัวข้าพเจ้าเองก็ต้องนำรถยนต์ข้ามแพขนาดยนต์ที่ท่าเมืองแล้วค่อยแล่นรถไปตามถนนลูกรัง ผ่านหมู่บ้านชาวประมงริมน้ำไป 3 กิโลเมตร โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่สามารถแวะชมเลือกซื้อของฝากประเภทอาหารทะเลไปฝากผู้คนที่อยู่ทางบ้านได้อีกที่หนึ่งด้วย เมื่อแวะซื้อของฝากกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินทางต่อโดยไปสุสานที่เราจะไปนี้ยังห่างจากที่จับจ่ายซื้อหาของฝากอีกประมาณ 3-4 กิโลเมตรเท่านั้น แต่เมื่อข้าพเจ้าเดินทางมาถึงกลับพบว่าสุสานเขาปูนหรือสุสานช่องไก่นี้มีขนาดเล็กกว่าสุสานกาญจนบุรีที่อยู่ในตัวเมืองมากโดยสุสานแห่งนี้จะบรรจุศพของเชลยศึกจำนวนเพียง 1750 ศพเท่านั้นและส่วนใหญ่เป้นทหารชาวอังกฤษ แต่ความสวยงามนั้นงามไม่แพ้กันเลยมีทั้งความเงียบสงบเพราะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนัก เทื่อเราได้ชมความงามของสุสานไปเต็มอิ่มกันแล้วต่อไปเราจะไปเที่ยวชมหุบเขากันบ้างโดยหุบเขาที่เราจะไปนั้นมีความสวยงามและมีประวัติที่น่าค้นหาอย่างมากนั้นคือช่องเขาขาด ซึ่งช่องเขาขาดนี้ตั้งอยู่บริเวณพิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาด อำเภอไทรโยคและเป็นส่วนหนึ่งของทางรถไฟสายมรณะ โดยช่องเขาขาดนี้เป็นภูเขาที่ถูกตัดเป็นช่องเพื่อที่จะทำเส้นทางรถไฟสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และในตอนที่ข้าพเจ้าไปนั้นยังมีร่องรอยของรถไฟปรากฏอยู่บ้าง โดยทางไปเราก็เริ่มจากสานและขับรถตรงไปเรื่อยๆเราจะพบสี่แยกไปถ้ำค้างคาวเลี้ยวขวาและขับรถตรงไปผ่านศาลากลางเลยททท.ไปประมาณ 200 เมตร ผ่านสถานีขนส่งจังหวัดกาญจนบุรีและขับรถตรงไปเขื่อนศรีนครินทร์ให้เลี้ยวซ้ายขับไปเรื่อยๆประมาณ 75 กิโลเมตร ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 64-65 ทางหลวงหมายเลย 323 จะถึงช่องเขาขาด อยู่ทางซ้ายมือ เส้นทางด่อนข้างไกลและสลับซับซ้อนแต่เพื่อการเที่ยวชมภูเขาที่เป็นหลักฐานสำคัญสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ไกลแค่ไกลก็ยอม แต่เมื่อเรามาถึงความเหนื่อยนั้นก็หายไปหมดเลยอาจเป็นเพราะความงามของหุบเขาแห่งนี้ เมื่อเราเที่ยวชมความงามของภูเขา ต้นไม้และสิ่งต่างๆที่อยู่รอบๆช่องเขาขาดแห่งนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็ต้องกลับไปล่องแพชมความงามรอบแม่น้ำแควน้อยกันต่อไปที่จังหวัดแห่งนี้ เหมือนกับทุกครั้งที่เคยมา เมื่อเราเดินทางมาถึงพอเราแค่ก้าวเท้าลงจากลงแค่นั้นก็จะรู้สึกว่าเหมือนกับเราเป็นคนเด่นคนดังของประเทศเลยเพราะมีคนมาถ่ายรูปเราแต่ไม่ต้องตกใจนะค่ะเพราะเค้าถ่ายรูปเราไปเพื่อทำเป็นของที่ระลึกว่าเรามาถึงเมืองกาญจนบุรี
ความสุขที่เราได้มาเที่ยวชมเมืองกาญจนบุรีนี้ยังไม่หมดแค่นี้ เรายังสามารถชมความงามต่างๆได้อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นน้ำตกไทรโยคใหญ่หรือน้ำตกเขาโจนที่อยู่บริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติไทรโยค เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่ไหลตกลงมาจากลำห้วยสู่แม่น้ำแควน้อย โดยใกล้ๆกันยังมีน้ำตกไทรโยคเล็กๆซึ่งมีลักษณะคล้ายๆกันแต่มีขนาดเล็กกว่าแต่น้ำตกทั่ง 2 แห่งนี้มีน้ำไหลตลอดทั้งปีแม้ในฤดูแล้งน้ำตกก็ยังไหลสำหรับคนที่ชอบเที่ยวชมธรรมชาติและเล่นน้ำอีกด้วย และที่สำคัญอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองกาญจนบุรี
ในการเที่ยวชมเมืองที่มากด้วยประวัติที่น่าค้นหา น่ากลัว และแฝงด้วยความสวยงามอยู่ในตัวนั้น สะท้อนให้เห็นว่าทุกคนในโลกนี้ต้องอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข สถานที่หลายแห่งในเมืองนี้มีทั้งประวัติของการสูญเสียและความรัก ความสามัคคี ทำให้การเดินทางมาเที่ยวในครั้งนี้ มีทั้งความสุข สนุก เพราะเมืองนี้มีความความสุข ความสวยงาม ความประทับใจ มีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะที่น่าจดจำอย่างมาก นี้คือความสุขที่แท้จริงของการเดินทางมาเที่ยวที่เมืองแห่งประวัติศาสตร์นี้

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552


3 หน่วยงาน มสด.เปิดเวทีการจัดการความรู้แก่บุคลากรสวนดุสิต ต่อยอดการทำงานของมหาวิทยาลัยฯ
วันนี้ (21 ก.ค.52) ฝ่ายนโยบายมหาวิทยาลัย ร่วมกับกองบริหารงานบุคคล และหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการจัดการความรู้ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต จัดประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง การพัฒนาบุคลากรโดยการจัดการความรู้ โดยมี อาจารย์สิรินาถ แพทยังกุล ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายนโยบายมหาวิทยาลัย เป็นประธานกล่าวเปิดงาน ณ ห้องประชุมกาหลา โรงแรมสวนดุสิตเพลส ซึ่งการประชุมสัมมนาในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ ดร.ธำรงค์ อุดมไพจิตรกุล ประธานโครงการหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการจัดการความรู้ มรภ.สวนดุสิต บรรยาย และปฏิบัติการ เรื่อง KM คืออะไร และบทบาท Facilitator ที่มีประสิทธิภาพ และ ดร.สุชาดา โทผล ที่มาร่วมบรรยาย และปฏิบัติการ ในเรื่อง การกำหนด KPI เพื่อการจัดเก็บที่สัมฤทธิผล ก่อนแบ่งผู้ร่วมสัมมนาเป็นกลุ่มย่อยทำ Workshop ทั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เข้าสัมมนา ได้นำเครื่องมือการจัดการความรู้มาประยุกต์ใช้แก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างมีระบบ เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากประสบการณ์ในการทำงานของบุคลากร บนวัฒนธรรมแห่งความเป็นสวนดุสิต อันจะนำมาซึ่งการพัฒนาปรับปรุงการนำความรู้ด้านต่างๆ มาใช้ในการทำงานของมหาวิทยาลัยฯ อีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ข่าวเกี่ยวกับหน่วยงานองค์กรและสถาบันโดยตรง
องค์การอนามัยโลก ระบุทุก ๑๕ นาที ทั่วโลกผู้หญิงถูกข่มขืนถึง ๒๐ ราย พม. จับมือ สตช. ทั่วประเทศ เร่งแก้ปัญหาผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว
Wednesday, 27 May 2009 13:33 –
กรุงเทพฯ--27 พ.ค.--สป.พม.
นายวัลลภ พลอยทับทิม ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวในพิธีเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง บทบาทของเจ้าหน้าที่ตำรวจตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.๒๕๕๐ ว่า องค์การอนามัยโลกได้ประมาณการว่ากว่า ๑ ใน ๕ ของผู้หญิงทั่วโลกเคยถูกทำร้ายร่างกายหรือทางเพศ และทุก ๑๕ นาที ทั่วโลกจะมีผู้หญิงถูกข่มขืนถึง ๒๐ ราย ประกอบกับข้อมูลของศูนย์พึ่งได้ กระทรวงสาธารณสุข พบว่า เด็กและสตรีที่ถูกกระทำความรุนแรงมาขอรับบริการในปี ๒๕๕๐ มีจำนวนกว่า ๑๙,๐๐๐ ราย หรือเฉลี่ย ๕๒ รายต่อวัน และมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย จิตใจ และสุขภาพของบุคคลในครอบครัว ยังส่ง ผลกระทบต่อการพัฒนาสังคมอีกด้วย
นายวัลลภ กล่าวต่อว่า พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.๒๕๕๐ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ ๑๒ พ.ย. ๒๕๕๐ มุ่งให้การคุ้มครองช่วยเหลือผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว และยังมีมาตรการในการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้กระทำ มีมาตรการคุ้มครองผู้ถูกกระทำตั้งแต่เริ่มมีความรุนแรงในครอบครัวเกิดขึ้น โดยกำหนดให้ผู้ถูกกระทำและผู้พบเห็นเหตุการณ์มีหน้าที่ต้องแจ้งเหตุ มีการเยียวยารักษาผู้ถูกกระทำ ตลอดจนมุ่งธำรงรักษาไว้ซึ่งสถานภาพอันดีของครอบครัว
อย่างไรก็ตาม กฎหมายจะบรรลุเป้าหมายได้นั้นต้องอาศัยกลไกต่างๆ มารองรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการรับเรื่องราวร้องทุกข์และการดำเนินคดี ดังนั้น กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ โดยสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว จึงร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “บทบาทของเจ้าหน้าที่ตำรวจตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.๒๕๕๐” เพื่อให้เกิดกลไกและความร่วมมือในการนำกฎหมายไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พนักงานสอบสวน หัวหน้าสถานีตำรวจ และพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทั่วประเทศ เข้าร่วมสัมมนา จำนวน ๑๐ รุ่น รวมกว่า ๕,๐๐๐ คน
“ความร่วมมือกันระหว่าง พม. และ สตช. ครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนและจุดประกายการดำเนินงานคุ้มครองบุคคลในครอบครัวจากความรุนแรง ด้วยการนำกฎหมายไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม และอยากฝากให้ สตช. มีนโยบายให้สถานีตำรวจทุกแห่งให้ความสำคัญต่อการนำกฎหมายฉบับนี้ไปบังคับใช้ พม. เองก็จะเร่งเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไป เพื่อบูรณาการความร่วมมือให้มีประสิทธิภาพ เพื่อคุ้มครองสิทธิประชาชนต่อไป” นายวัลลภ กล่าว


ข่าวเกี่ยวกับกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อการประชาสัมพันธ์
กิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อการประชาสัมพันธ์
ทรู เปิด True App Center ปั้นนักพัฒนาแอพพลิเคชั่นเลือดไทย สถาบันศูนย์กลางพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับมือถือทุกแพลตฟอร์ม
กรุงเทพฯ--25 มิ.ย.--อาซิแอม เบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์
นายอติรุฒม์ โตทวีแสนสุข (ซ้าย) กรรมการผู้จัดการ คอนเวอร์เจนซ์ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น และ นายพิชิต ธันโยดม (ขวา) หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านสารสนเทศ บริษัท ทรู มูฟ จำกัด ตอกย้ำผู้นำด้านนวัตกรรม สานต่อแนวคิด True Innovation เปิดตัว “True App Center” สถาบันศูนย์กลางการศึกษาเพื่อการพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับมือถือทุกแพลตฟอร์มครบวงจร ทั้ง ไอโฟน, วินโดวส์ โมบายล์, ซิมเบียน, แบล็คเบอร์รี่ และแอนดรอยด์ ปั้นนักพัฒนาแอพพลิเคชั่นเลือดไทย ปูทางสู่ตลาดแอพพลิเคชั่นระดับโลก พร้อมกันนี้ ทรูยังร่วมกับ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดตัว “True App Center Forum” ศูนย์กลางการศึกษาอบรมเทคนิคการออกแบบและพัฒนาแอพพลิเคชั่น รวมทั้งการวางแผนธุรกิจและการตลาดแบบมืออาชีพ ให้เรียนรู้ทฤษฎีต่างๆ จากทีมคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิ และทีมนักพัฒนาจากทรูมูฟ ถ่ายทอดประสบการณ์ตรงจากการพัฒนา 24 แอพพลิเคชั่นอวดโฉมใน App Store และประสบความสำเร็จด้วยยอดดาวน์โหลดกว่า 1 ล้านครั้ง นำร่องด้วยการพัฒนาโปรแกรมบนแพลตฟอร์มไอโฟน เวอร์ชั่น 3.0 มั่นใจผลิตนักพัฒนารุ่นใหม่ สร้างคน สร้างงาน และสร้างความสามารถเพื่อต่อยอดธุรกิจในอนาคต แบ่งการเรียนการสอนเป็น 2 ระดับ คือ ระดับพื้นฐาน เรียน 1 วัน และ ระดับแอดวานซ์ เรียน 5 วัน อบรม ณ ศูนย์ฝึกอบรม Training Center ชั้น 11 อาคารซีพีทาวเวอร์ 2 ถนนรัชดาภิเษก ผู้ที่สนใจสามารถสมัครเรียนได้ที่ www.trueappcenter.com โดยผู้สมัครจะต้องมีพื้นฐานความรู้ในการเขียนโปรแกรม C นอกจากนี้ ผู้เข้าเรียนในโครงการ True App Center Forum จะได้รับสิทธิพิเศษ ใช้ Wi-Fi by TrueMove ไม่จำกัดตลอดหลักสูตร พร้อมของที่ระลึก

ข่าวที่มีประโยชน์ต่อสังคมแม้จะไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยองค์กรและสถาบันโดยตรง
ข่าวอาญชากรรม กับ ผลกระทบต่อสังคม และสิทธิมนุษยชน
ปัจจุบันการแข่งขันกันในธุรกิจสื่อมวลชนมีสูง เน้นการแสวงหาข่าวด้วยความรวดเร็วสร้างจุดขายโดยการนำเสนอข่าวแบบเจาะลึก สร้างความตื่นเต้นชวนให้ผู้รับสารติดตาม เป็นผลให้ขั้นตอนการแสวงหาข่าวหรือเนื้อหาของข่าวที่นำเสนออาจกระทบต่อสิทธิส่วนบุคคลหรือกระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเสนอข่าวอาชญากรรม สื่อมวลชนเน้นการนำเสนอรายละเอียดขั้นตอนของการประกอบอาชญากรรมแบบเจาะลึก เน้นการเปิดเผยโฉมหน้าของผู้กระทำผิดให้สาธารณะชนได้รับรู้ให้มากที่สุด ใช้ภาษาคำพูดในการนำเสนอที่น่าตื่นเต้นชวนให้ติดตาม หนังสือพิมพ์มีการพาดหัวข่าวด้วยถ้อยคำที่รุนแรงในบางครั้งเป็นการสร้างอารมณ์สาธารณะขึ้นจนมีการเข้ารุมประชาทัณฑ์ผู้ต้องหา ในการนำเสนอข่าวอาชญากรรมที่ผู้ต้องหาหรือผู้เสียหายเป็นเด็กหรือเยาวชน แม้จะมีกฎหมายที่มีผลใช้บังคับอยู่ในการห้ามเผยแพร่ภาพหรือเรื่องราวใดๆ อันก่อให้เกิดความเสียหายต่อเด็ก แต่ในบางครั้งก็ยังมีการกระทำที่ละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายเกิดขึ้น
จากที่กล่าวมาขอแยกพิจารณาปัญหาที่เกิดจากการนำเสนอข่าวอาชญากรรมของสื่อมวลชนออกเป็น 3 ประการ
ประการแรก ผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ต้องหาและผู้เสียหายในคดีอาญา ผู้ต้องหาในคดีอาญาย่อมได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิด หลักการนี้ได้รับการยอมรับจากหลายประเทศทั่วโลก อย่างเช่นในประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และประเทศต่างๆในภาคพื้นยุโรปได้ยอมรับหลักการนี้โดยแจ้งชัดปรากฏตามอนุสัญญาของสภายุโรปเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน (European Convention for the Protection of Human Rights and Fundamental Freedoms) ซึ่งประเทศไทยก็ได้ยอมรับหลักการดังกล่าวโดยบัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเช่นเดียวกัน การตกเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาในบางกรณีผู้บริสุทธิ์อาจถูกกล่าวหาโดยมิชอบ ขณะเดียวกันผู้ที่แม้ได้กระทำความผิดจริงก็ยังอยู่ในฐานะมนุษย์อันพึงได้รับการปฏิบัติอย่างคำนึงถึงความเป็นมนุษย์ หรือบุคคลผู้มีสิทธิในสังคม การเผยแพร่ภาพผู้ต้องหาโดยไม่ได้รับความยินยอมย่อมก่อให้เกิดความเสียหายและในบางครั้งเกิดอันตรายแก่ผู้ต้องหาอย่างเช่น การถูกรุมทำร้ายโดยฝูงชน เนื่องจากการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนโดยใช้ถ้อยคำรุนแรงกระตุ้นอารมณ์สาธารณะ อีกทั้งการเผยแพร่ภาพในลักษณะที่ผู้ต้องหาถูกเครื่องพันธนาการ เช่น กุญแจมือ โซ่ตรวน ผู้ต้องหาย่อมได้รับความอับอายและไม่ประสงค์ให้มีการเผยแพร่ภาพหรือเรื่องราวของตนออกไปเช่นนั้น และอาจมีผลถึงครอบครัวภรรยา และบุตร ซึ่งไม่ได้เป็นผู้ประกอบอาชญากรรมแต่จำต้องได้รับผลกระทบในการดำรงชีวิตในสังคม กรณีผลกระทบต่อผู้เสียหาย ในส่วนของผู้เสียหายในคดีอาญา สื่อมวลชนมีการเผยแพร่ภาพผู้เสียหายโดยการสัมภาษณ์ถามย้ำถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น รวมถึงการอธิบายขั้นตอนการประกอบอาชญากรรมโดยละเอียด ในบางครั้งมีการนำภาพจากกล้องวงจรปิดมาเผยแพร่นอกจากเป็นการกระทำความรุนแรงซ้ำซากต่อเหยื่อผู้เสียหายและบุคคลใกล้ชิดแล้ว การนำเสนอเรื่องราวข่าวอาชญากรรมบางกรณีมีผลกระทบต่อศักดิ์ศรีของผู้เสียหายในคดีอาญา อันเป็นการซ้ำเติมเพิ่มความเจ็บปวดทางจิตใจแก่ผู้เสียหาย
ตัวอย่างเช่น การนำเสนอข่าวในคดีข่มขืน แม้สื่อมวลชนจะรายงานข่าวโดยไม่ได้ระบุชื่อผู้เสียหายแต่บรรยายพฤติการณ์แวดล้อมหรือบรรยายชื่อ นามสกุล อาชีพและที่อยู่ของผู้ต้องหาซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้เสียหาย หรือในบางกรณีเป็นบุคคลในครอบครัวผู้เสียหาย ย่อมทำให้สาธารณชนโดยเฉพาะผู้ใกล้ชิดสามารถรู้ถึงตัวผู้เสียหายโดยง่าย
ประการที่สอง ผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรมทางอาญา การนำเสนอข่าวอาชญากรรมของสื่อมวลชนอาจมีการนำเสนอทั้งข้อมูลที่เป็นความจริงและข้อมูลที่เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นหรือข้อสันนิษฐานเบื้องต้น อาจมีทั้งข้อเท็จจริงบางส่วนอาจนำไปเป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลได้และบางส่วนไม่สามารถรับฟังประกอบการพิจารณาได้ ดังนั้น ปัญหาสิทธิเสรีภาพในการพิมพ์หรือสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนกับความเที่ยงธรรมในการพิจารณาคดีอาญา (freedom of the press and fair trail) จึงเป็นปัญหาสำคัญประการหนึ่ง ศาลสูงสหรัฐได้วินิจฉัยปัญหาระหว่างเสรีภาพของสื่อมวลชนในการนำเสนอข่าวคดีอาญากับความเที่ยงธรรมในการพิจารณาคดีอาญา ไว้ในคดี Irvin v. Dowd 366 U.S.717 (1961) และคดี Rideau V. Louisiana 393 U.S. 723(1963) โดยศาลสูงมีคำสั่งให้ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีใหม่เนื่องจากในการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นจำเลยไม่ได้รับความเป็นธรรมในการพิจารณาคดี โดยเหตุที่ว่า มีการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนทำให้คณะลูกขุนไม่มีความเป็นอิสระในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงแห่งคดี และจากการศึกษาวิจัยของ Padawer-singer and Barton , Alfred Friendly และ Ronald L. Goldfarb นักนิติศาสตร์ชาวสหรัฐอเมริกา ได้ยืนยันว่า การเสนอข่าวคดีอาญาของสื่อมวลชนก่อนการพิจารณาพิพากษาคดีได้ส่งผลกระทบและก่อให้เกิดอคติขึ้นในจิตใจของคณะลูกขุน และยังเป็นการชี้นำความคิดเห็นของคณะลูกขุนและผู้พิพากษา กระทบต่อการอำนวยความยุติธรรมให้แก่คู่ความในคดีนั้นด้วย
ประการสุดท้าย ผลกระทบต่อสังคมในการลอกเลียนแบบอาชญากรรม ผลการวิจัยตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันได้แสดงให้เห็นว่า สื่อมวลชนมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการแสดงออกของมนุษย์ โดยเฉพาะการนำเสนอข่าวอาชญากรรมโดยอธิบายขั้นตอนการประกอบอาชญากรรมโดยละเอียด ทำให้เกิดการทำตามจนกระทั่งเป็นการก่ออาชญากรรมแบบเดียวกันขึ้นซ้ำอีกโดยผู้ต้องหารายใหม่ ทั้งนี้ผู้ต้องหาในคดีหลังจะยอมรับว่า มีการลอกเลียนแบบมาจากข่าวที่นำเสนอผ่านช่องทางสื่อรูปแบบต่างๆ ซึ่งเหตุการณ์ในทำนองนี้ได้เกิดขึ้นมาแล้วทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนซึ่งวุฒิภาวะยังน้อย สามารถซึมซับและเรียนรู้ได้รวดเร็วหากได้พบเจอข่าวในลักษณะที่มีความรุนแรงบ่อยครั้ง การนำเสนอข่าวอาชญากรรมที่มีความรุนแรงอาจนำไปสู่การเกิดความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นในสังคม ดังนั้น เมื่อพิจารณาถึงผลเสียหายที่ได้รับกับประโยชน์ที่ได้จากการนำเสนอข่าวดังกล่าวแล้ว จะเห็นได้ว่า สัดส่วนของความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ผู้ต้องหาและผู้เสียหายรวมถึงสังคมโดยส่วนรวมมีมากกว่าประโยชน์ที่สาธารณชนจะได้รับจากข่าว
ดังนั้นเพื่อป้องกันการเสื่อมทรามทางจิตใจและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลของผู้ต้องหาและผู้เสียหาย จึงสามารถออกกฎหมายมาจำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนและสิทธิในการรับรู้ของประชาชนในการนำเสนอและรับรู้ข่าวสารได้ อีกทั้งเมื่อพิจารณาข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพหนังสือพิมพ์ พ.ศ. 2541 ซึ่งกำหนดขึ้นโดยสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติและอาจถือเป็นข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมของสื่อทุกประเภทด้วยนั้น ได้กำหนดข้อต้องปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพไว้ว่าการนำเสนอข่าวต้องนำเสนอเพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่แต่งเติมเนื้อหาของข่าวจนคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ไม่สอดแทรกความคิดเห็นลงในข่าว ในการเสนอข่าวหรือภาพใดๆต้องคำนึงมิให้ล่วงละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลที่ตกเป็นข่าวโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องให้ความคุ้มครองอย่างเคร่งครัดต่อสิทธิมนุษยชนของเด็ก สตรีและผู้ด้อยโอกาส ในการเสนอข่าวต้องไม่เป็นการซ้ำเติมความทุกข์หรือโศกนาฏกรรมอันเกิดแก่เด็ก สตรี และผู้ด้อยโอกาสนั้นไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง การพาดหัวข่าวหรือความนำต้องไม่เกินไปจากข้อเท็จจริงในข่าว ไม่เสนอภาพน่าหวาดเสียวโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของสาธารณะชนอย่างถี่ถ้วน การแสดงความคิดเห็นหรือการวิพากษ์วิจารณ์ต้องให้ความเที่ยงธรรมแก่ฝ่ายที่ถูกพาดพิงเสมอ เป็นการแสดงให้เห็นว่า สื่อมวลชนเองก็ตระหนักถึงความสำคัญในการนำเสนอภาพข่าวที่อาจกระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมของสังคมเช่นกัน แต่ในทางความเป็นจริงภาพข่าวลักษณะดังกล่าวยังเกิดขึ้นบ่อยครั้งไม่ว่าจะเป็นภาพผู้ต้องหาที่ถูกใส่กุญแจมือถูกตำรวจจูงเดินไปในสถานที่ต่างๆ การเผยแพร่รายละเอียดของข่าวเป็นเหตุให้เสื่อมเสียศักดิ์ศรีและเป็นการซ้ำเติมผู้เสียหาย ภาพอาชญากรรมที่น่าหวาดเสียว รายการโทรทัศน์บางรายการในประเทศ มีการเชิญชวนให้ผู้ชมที่เห็นเหตุการณ์โศกนาฏกรรมหรืออาชญากรรมในขณะเกิดเหตุถ่ายคลิปวีดีโอแล้วส่งมาร่วมรายการเพื่อนำเสนอเรื่องราวดังกล่าวออกสู่สาธารณะชนโดยอาจมีรางวัลให้แก่ผู้ที่ส่งคลิปวีดีโอมาร่วมรายการดังกล่าวด้วย จนในบางครั้งผู้ที่เห็นเหตุการณ์โศกนาฏกรรมหรืออุบัติเหตุไม่ได้คิดถึงการช่วยเหลือผู้ที่กำลังประสบภัยอยู่ในขณะนั้น แต่กลับให้ความสนใจกับการถ่ายภาพเหตุการณ์เพื่อนำมาร่วมรายการยิ่งกว่า การนำเสนอดังกล่าวจึงเป็นการสร้างค่านิยมทางสังคมที่ผิดและสะท้อนให้เห็นว่าไม่เพียงแต่การขาดการควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพในการนำเสนอภาพข่าวที่มีความรุนแรงตามแนวทางแห่งจรรยาบรรณวิชาชีพเท่านั้นแต่ยังมีแนวโน้มในการสนับสนุนให้มีการเผยแพร่ภาพดังกล่าวอีกด้วยประเทศฝรั่งเศสเป็นอีกประเทศหนึ่งในโลกที่ให้ความสำคัญกับสื่อมวลชนสูง การขยายตัวของสื่อเป็นไปอย่างรวดเร็ว สื่อโทรทัศน์เป็นสื่อมวลชนอันดับหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อพลเมืองฝรั่งเศส แต่ในขณะเดียวกัน ฝรั่งเศสก็ได้ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์ของสื่อมวลชนโดยเคร่งครัดเช่นกัน ฝรั่งเศสมีสภาสูงว่าด้วยสื่อวิทยุและโทรทัศน์ ทำหน้าที่ในการติดตาม ควบคุมสื่อมวลชนให้ดำเนินการตามจริยธรรมที่กำหนดไว้ กำกับดูแล ตรวจสอบ เป็นตัวแทนเจรจาการปกป้องประโยชน์ของสังคม ได้แก่ การดูแลด้านศีลธรรม สิทธิของผู้เยาว์และประชาชน รวมถึงมีอำนาจในการระงับ ยกเลิกการดำเนินงานของสถานีแต่ละแห่งทั้งเป็นการชั่วคราวและถาวรด้วย นอกจากนี้ยังมีการออกกฎหมายสำคัญที่มีผลต่อการทำงานของสื่อมวลชนหลายฉบับ โดยเฉพาะการเคารพสิทธิส่วนบุคคลของผู้ถูกนำเสนอ การปกป้องผู้เยาว์ การรายงานข่าวที่ส่งผลกระทบต่อผู้ต้องหาและผู้เสียหายในคดีอาญา พระราชบัญญัติที่สำคัญได้แก่ พระราชบัญญัติเกี่ยวกับการพิมพ์ได้ Loi du 29 juillet 1881 sur la liberté de la presse ซึ่งมีการแก้ไขครั้งล่าสุดเมื่อ วันที่ 22มกราคม พ.ศ. 2552 มีบทบัญญัติคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหาและผู้เสียหายในคดีอาญาสองมาตรากล่าวคือมาตรา 35 ตรี บัญญัติห้ามมิให้สื่อมวลชนหรือผู้ใดเผยแพร่ภาพหรือเรื่องราวอื่นใดของผู้ต้องหาที่ถูกใส่กุญแจมือหรือถูกขังอยู่ในระหว่างพิจารณาผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 15,000 ยูโร เว้นแต่จะได้รับความยินยอมของผู้ต้องหา นอกจากนี้ในมาตราดังกล่าวยังห้ามมิให้สื่อมวลชนเผยแพร่แสดงความเห็นหรือทำผลสำรวจเกี่ยวกับความผิดของผู้ต้องหา เช่น ทำผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนว่าผู้ต้องหากระทำความผิดหรือไม่ หรือการกระทำของผู้ต้องหาสมควรได้รับโทษแค่ไหน รวมถึงห้ามมิให้ผู้ใดสนับสนุนเปิดเผยวิธีการที่จะเข้าไปแสดงความคิดเห็นหรือเข้าไปดูผลโหวตในการทำผลสำรวจด้วย และในมาตรา 35 จัตวา ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่คุ้มครองผู้เสียหายในคดีอาญา โดยบทบัญญัติดังกล่าวห้ามการเผยแพร่ด้วยวิธีใดหรือทำซ้ำซึ่งเหตุการณ์อาชญากรรมใดซึ่งการเผยแพร่หรือการทำซ้ำกระทบกระเทือนศักดิ์ศรีของผู้เสียหายโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เสียหาย ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 15,000 ยูโร นอกจากนี้ยังมีบทบัญญัติลงโทษเกี่ยวกับการยั่วยุให้เกิดอาชญากรรมในมาตรา 23 และมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยบัญญัติให้การนำเสนอข่าว ไม่ว่าในรูปสื่อสิ่งพิมพ์หรือนำเสนอทางสื่อมวลชนในรูปแบบอื่น หากการนำเสนอเรื่องราวดังกล่าวเป็นการยั่วยุให้เกิดอาชญากรรมขึ้น และหากมีการก่ออาชญากรรมขึ้นจนเป็นอันตรายแก่ชีวิตหรือเป็นอันตรายและทำให้เสื่อมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลใด ผู้กระทำจะต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 45,000 ยูโร ซึ่งกฎหมายในส่วนนี้จะมีความคล้ายคลึงกับเรื่องการเป็นผู้ใช้ในประมวลกฎหมายอาญา แต่ในเรื่องของผู้ใช้นั้นสื่อมวลชนอาจยกเรื่องการนำเสนอข่าวตามหน้าที่ขึ้นอ้างว่าไม่ได้กระทำโดยเจตนาเพื่อให้ตนหลุดพ้นจากความรับผิดทางอาญา ประเทศฝรั่งเศสนับได้ว่าเป็นประเทศต้นแบบในการรับรองสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชน คำประกาศสิทธิมนุษยชนและพลเมือง ค.ศ.1789 ( La déclaration des droits de l′homme et du citoyen ) ได้ยอมรับการมีอยู่ของสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด ซึ่งสิทธิเสรีภาพดังกล่าวหมายความรวมถึง สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด และสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน การรับรองสิทธิเสรีภาพดังกล่าวได้มีอิทธิพลและถือเป็นหัวใจสำคัญในการเป็นต้นแบบการร่างรัฐธรรมนูญของประเทศไทยในเวลาต่อมา เมื่อเปรียบเทียบกับกฎหมายของฝรั่งเศสแล้วพบว่า ในประเทศไทยยังไม่มีบทบัญญัติกฎหมายที่มีโทษทางอาญาในการคุ้มครองการนำเสนอภาพความรุนแรงอันเป็นการยั่วยุให้เกิดอาชญากรรม ส่วนในเรื่องการคุ้มครองผู้ต้องหาและผู้เสียหายในคดีอาญาจากการนำเสนอภาพหรือเรื่องราวของสื่อมวลชนพบว่า ประเทศไทยปัจจุบันมีกฎหมายที่ห้ามเผยแพร่ภาพผู้ต้องหาหรือผู้เสียหายในคดีอาญาอยู่ 4 ฉบับ ได้แก่
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534
พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546
พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 ซึ่งเมื่อพิจารณาพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 และพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 เห็นได้ว่า คุ้มครองการเผยแพร่ภาพหรือเรื่องราวของผู้ต้องหาหรือผู้เสียหายครอบคลุมเฉพาะผู้ต้องหาหรือผู้เสียหายที่เป็นเด็กหรือเยาวชนเท่านั้น ส่วนพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มีวัตถุประสงค์มุ่งคุ้มครองเฉพาะผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว ในการกระทำความผิดอาญาที่เกี่ยวกับข้องกับการกระทำความรุนแรงในครอบครัว และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 มุ่งคุ้มครองผู้เสียหายจากการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์เท่านั้น
ในปัจจุบันจึงยังไม่มีบทกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหาและผู้เสียหายโดยทั่วไปที่อาจได้รับความเสียหายเช่นกัน

ดังนั้น แม้ประเทศฝรั่งเศสจะเป็นต้นแบบของการยอมรับสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน แต่ก็ได้มีการจำกัดสิทธิเสรีภาพดังกล่าวเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและสังคมที่จะ ต้องได้รับการคุ้มครองยิ่งกว่า เมื่อประเทศไทยได้รับต้นแบบในการรับรองสิทธิเสรีภาพดังกล่าวจึงควรศึกษาถึงขอบเขตการจำกัดสิทธิเสรีภาพด้วย จากการศึกษากฎหมายทั้งภายในประเทศและกฎต่างประเทศแล้วจึงมีเสนอแนะดังต่อไปนี้
ประการแรก ให้มีการบัญญัติกฎหมายที่ให้ความคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหาและผู้เสียหายในคดีอาญา จากการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน โดยศึกษากฎหมายเกี่ยวกับการพิมพ์ของฝรั่งเศส Loi du 29 juillet 1881 sur la liberté de la presse เป็นแนวทางในการบัญญัติกฎหมายให้มีความเหมาะสมกับการบังคับใช้ในประเทศไทยต่อไป เพื่อให้มาตรการทางอาญาเป็นหนทางที่จะคุ้มครองผู้ที่จะต้องถูกนำเสนอข่าวโดยมิชอบของสื่อมวลชน แม้ที่ผ่านมาจะยังไม่เคยมีผู้ถูกลงโทษตามกฎหมายที่มุ่งประสงค์จะคุ้มครองบุคคล เช่น เด็ก หรือเยาวชน จากการนำเสนอเรื่องราวของสื่อมวลชน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า สื่อมวลชนได้เริ่มตระหนักถึงความสำคัญและพยายามหลีกเลี่ยงไม่นำเสนอข่าวที่อาจละเมิดกฎหมายแม้จะยังปรากฏการกระทำความผิดอยู่บ้างตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์ก็ตาม
ประการที่สอง ควรประชาสัมพันธ์ให้สื่อมวลชนและประชาชนได้ทราบถึงสิทธิและหน้าที่ของตนที่ได้รับการรับรองและคุ้มครองตามกฎหมาย การฟ้องร้องดำเนินคดีแก่สื่อมวลชนที่กระทำการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายที่มีผลใช้บังคับอยู่เพื่อเป็นตัวอย่างและเมื่อมีคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลก็นำออกเผยแพร่สู่สาธารณะชน
ประการที่สาม จัดให้มีองค์กรทำหน้าที่ดูแลปกป้องสิทธิของผู้เสียหายจากการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนอย่างเช่นในประเทศฝรั่งเศสมีสภาสูงว่าด้วยสื่อวิทยุและโทรทัศน์ ทำหน้าที่ในการติดตามควบคุมสื่อให้ดำเนินการตามจริยธรรมที่กำหนดไว้ ทั้งในด้านการบริหารจัดการคลื่นโทรทัศน์ กำกับดูแล ตรวจสอบ เป็นตัวแทนเจรจาการปกป้องประโยชน์ของสังคม ได้แก่ การดูแลด้านศีลธรรม สิทธิของผู้เยาว์และประชาชน รวมถึงมีอำนาจในการระงับ ยกเลิกการดำเนินงานของสถานีแต่ละแห่งทั้งเป็นการชั่วคราวและถาวรด้วย อย่างไรก็ตามสื่อมวลชนมีหน้าที่นำเสนอข่าวสารข้อมูลต่อสาธารณะชนรวมทั้งภารกิจอื่นอีกหลากหลายด้านซึ่งในบางครั้งการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนอาจกระทบต่อสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้น การนำกฎหมายอาญาทั้งในส่วนของกฎหมายสาระบัญญัติและวิธีสบัญญัติมาใช้บังคับจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างสิทธิประโยชน์ของสาธารณะในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารนั้นกับสิทธิส่วนบุคคลที่ได้รับการรับรองและคุ้มครองตามกฎหมาย หากเมื่อเทียบกันแล้วประโยชน์สาธารณะที่จะได้รับรู้ข่าวสารในเรื่องนั้นมีมากกว่า การทำหน้าที่ของสื่อมวลชนจึงสมควรได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย มิฉะนั้นแล้วสื่อมวลชนจะไม่กล้าทำหน้าที่ในการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมด้วยเกรงว่าจะต้องได้รับโทษทางอาญา
ดังนั้น แม้การนำกฎหมายอาญามาใช้แก่สื่อมวลชนยังมีความจำเป็นอยู่ในหลายด้าน แต่การบัญญัติข้อยกเว้นความรับผิดเฉพาะแก่ผู้กระทำความผิดที่เป็นสื่อมวลชนรวมถึงกฎหมายวิธีสบัญญัติที่เป็นธรรมแก่ทั้งสื่อมวลชนเองและผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนเป็นการเฉพาะย่อมมีความจำเป็นและเป็นหลักประกันการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนซึ่งสิทธิเสรีภาพดังกล่าวก็ได้รับการรับรองและคุ้มครองภายใต้รัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน นอกจากนี้สิ่งสำคัญของการแก้ไขปัญหาอีกประการหนึ่งก็คือการส่งเสริมการวิจัยที่เกี่ยวกับทัศนคติและความรับผิดชอบของสื่อมวลชน ตลอดจนการวิจัยเชิงปฏิบัติการและการวิจัยแบบมีส่วนร่วมควรได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังจากสื่อมวลชนและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อตระหนักถึงปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาเพื่อทำให้สื่อมวลชนคงความมีสิทธิเสรีภาพในการนำเสนอข่าวสารสู่สาธารณชนโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมไปพร้อมๆกัน

นางสาวนพวรรณ ตรีเล็ด
รหัส 50122764044 ตอนเรียน B1 รายวิชา การเขียนเพื่อนการประชาสัมพันธ์
เรียนวันพุธตอนเช้า ห้อง 404