
"สารคดีท่องเที่ยว เรื่อง กาญจนบุรี เส้นทางของคนชอบลุย"
ความสวยงามของเมืองโบราณ ด่านเจดีย์ มณีเมืองกาญจน์ สะพานข้ามแม่น้ำแคว แหล่งแร่ น้ำตก
คำขวัญนี้หลายท่านอาจร้องอ๋อแล้วว่าคือจังหวัดใด จังหวัดนี้ที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ความน่าสนใจในความทรงจำของข้าพเจ้าอีกเมืองหนึ่งจนอยากจะกลับไปฟื้นฟูความทรงจำในวันนั้นอีกครั้ง เมื่อนึกถึงภาพที่เคยผ่านมายิ่งทำให้รู้สึกถึงบรรยากาศและความทรงจำเดิมๆที่ทำให้นึกถึงอยู่ตลอด หลายๆครั้งที่ข้าพเจ้ามาที่นี้ ความรู้สึกที่ตื่นเต้นและความสวยงามของเมืองแห่งนี้เป็นที่น่าสนใจอย่างมาก มีทั้งความประทับใจ ความอับอาบ ความสุข ความสนุกผสมผสานรวมกันทุกความรู้สึก จังหวัดนี้มีสภาพพื้นที่เป็นเทือกเขาสูงโอบล้อมนั้นคือเมืองกาญจนบุรี
กาญจนบุรีถือเป็นเมืองท่องเที่ยวที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทิวเขาสลับซับซ้อน เป็นเมืองที่มีอุทยานแห่งชาติมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย เป็นเมืองที่มีเขื่อนขนาดใหญ่หลายเขื่อน นอกเหนือจากเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอย่างยาวนานไม่ว่าจะเป็นปราสาทเมืองสิงห์ เส้นทางรถไฟสายมรณะ สะพานข้ามแม่น้ำแคว น้ำตกไทรโยค ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของสีสันที่ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างข้าพเจ้าประทับใจและยังมีนักท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวที่นี้หลายแสนคนในแต่ละปี กาญจนบุรีถือเป็นเมืองท่องเที่ยวทางธรรมชาติโดยแท้ ข้าพเจ้าเองเคยเดินทางไปเมืองกาญจนบุรีประมาณ 2-3 ครั้ง แต่ละครั้งก็ล้วนแต่อยู่ในเขตพื้นที่ท่องเที่ยวหรือไม่ก็ไปเที่ยวเทือกเขาสูงที่อยู่ในความยิ่งใหญ่ของโลกธรรมชาติและส่วนใหญ่เราจะรับรู้ในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำตกหลายสาย สวยงามยิ่งนัก หนึ่งในน้ำตกสายใหญ่ที่สุดคือ น้ำตกไทรโยค มีทั้งน้ำตกไทรโยคใหญ่หรือน้ำตกเขาโจนและน้ำตกไทรโยคน้อยหรือน้ำตกเขาพัง ล้วนแต่น่าสนใจ สายน้ำที่มองเห็นน้ำใส เวลาเราสัมผัสน้ำเย็นจับใจ สามารถลงเล่นได้อย่าสบายกายสบายใจเลย น้ำตกทั้งสองแห่งนี้มีความสวยงามมากที่สุดอีกที่หนึ่ง โดยน้ำตกจะไหลลงมาจากลห้วยสู่แม่น้ำแควน้อย โดยน้ำตกจะมีน้ำไหลตลอดทั้งปีและที่สำคัญฤดูแล้งน้ำตกจะมีความสูงเพิ่มมากยิ่งขึ้นเนื่องจากระดับน้ำในแม่น้ำแควน้อยลดระดับลงทำให้มีสะพานแขวน สะพานนี้ใช้สำหรับข้ามไปชมทัศนียภาพของน้ำตกและลำน้ำที่สวยงามของน้ำตกไทรโยคและที่สำคัญอยากให้ทุกคนได้ลองมาเล่นชมความงามยากเกินจะบรรยายของน้ำตกแห่งนี้ และเมื่อเราเล่นน้ำตกจนพอแล้วเต็มอิ่มไปด้วยความสุขสนุกกันแล้ว เราก็เริ่มต้นเดินทางไปเที่ยวกันต่อเลย โดยเริ่มต้นจากสะพานที่มีชื่อเสียงความความสวยงามไม่แพ้สะพานอื่นๆเลยก็คือ สะพานข้ามแม่น้ำแคว โดยเป็นสถานที่อีกที่หนึ่งที่น่าสนใจของจังหวัดนี้อีกที่หนึ่ง โดยเราจะมาทำความรู้จักสะพานแห่งนี้กันให้มากกว่านี้กันเลยเพื่อที่เราจะได้ทราบถึงประวัติและความเป็นมาของสะพานแม่น้ำแควกันเลยดีกว่า สะพานข้ามแม่น้ำแคว เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่ง โดยสร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกพันธมิตรได้แก่ ทหารอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลีย และฮอลันดา จำนวนมากมายมาสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ผ่านประเทศพม่า โดยมีส่วนหนึ่งจะต้องข้ามแม่น้ำแควใหญ่ การสร้างสะพานและทางรถไฟสายนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะความทารุณของสงครามและโรคภัยตลอดจนขาดสารอาหาร บ้างก็ทำให้เชลยศึกจำนวนหลายหมื่นคนต้องเสียชีวิตลง สะพานข้ามแม่น้ำแควตั้งที่ตำบลท่ามะขาม อำเภอเมือง โดยห่างจากตัวเมือง โดยห่างจากตัวเมืองไปทางทิศเหนือและตามทางหลวงหมายเลข 323 ไปเพื่อนๆก็จะได้พบสะพานข้ามแม่น้ำแควกันแล้วและเมื่อมาสะพานแม่น้ำแควก็จะพบกับรถไฟสายมรณะนะค่ะ โดยรถไฟสายมรณะจะเริ่มต้นจากสถานีหนองปลาดุก อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี วิ่งผ่านมาเรื่อยๆจนกระทั่งถึงจังหวัดกาญจนบุรีข้ามแม่น้ำแควใหญ่ไปทางทิศตะวันตกจนถึงด่านเจดีย์สามองค์ที่เมืองตันบูซายัค ประเทศพม่า รวมระยะทางในเขตประเทศไทยประมาณ 300 กิโลเมตร โดยใช้เวลาในการสร้างทารถไฟเพียง 1 ปีเท่านั้นโดยเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2485 ถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2486 โดยทางรถไฟและรถไฟสายมรณะนี้จะใช้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ผ่านประเทศพม่า หลังสงครามเสร็จสิ้นลงทางรถไฟบางส่วนถูกเลาะทิ้ง บางส่วนจมอยู่ใต้ทะเลสาบเขื่อนเขาแหลม โดยทางรถไฟสายนี้ถือเป้นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงเหตุการณ์สงครามในครั้งนั้นโดยสร้างจากน้ำพักน้ำแรงของการบุกเบิกก่อสร้างของทหารที่เป็นเชลยศึกฝ่ายพันธมิตรที่กองทัพญี่ปุ่นเกณฑ์มา โดยที่ข้าพเจ้าไปนั้นได้นั่งรถไฟเพียงแค่สถานีเดียวแต่ความรู้สึกเหมือนยาวนานมากประมาณ 1 ชั่วโมง โดยทิวทัศน์ตลอดเส้นทางนั้นที่รถไฟแล่นผ่านนั้นสวยงามมากโดยเฉพาะบริเวณถ้ำกระแซ ที่เส้นทางรถไฟสายมรณะจะลัดเลาะไปตามเชิงผาเลียบไปกับลำน้ำแม่น้ำแควน้อยนั้นสวยงามอย่างมากและน่าตื่นเต้นที่สุด เหมาะอย่างยิ่งกับคนที่ชอบความท้าทายโดยที่เวลาเรามองลงไปยิ่งสร้างความตื่นเต้น น่ากลัวกลัวว่าเราจะตกลงไปเหมือนกับเวลาที่เรายืนตรงหน้าผามองลงไปเราเหมือนกับเรากำลังจะตกลงไปด้วย เหมือนกับที่เรามองลงไปที่แม่น้ำที่รถไฟแล่นผ่านไปมันช่างน่ากลัวมากแต่ภายในความน่ากลัวนั้นก็แฝงไปด้วยความสวยงามของทั้ง 2 ข้างทาง โดยข้างหนึ่งจะเป็นแม่น้ำและอีกฝั่งหนึ่งจะเป็นหินผา เป็นความประทับใจที่น่าจดจำอย่างยิ่งแก่ผู้พบเห็นตลอดระยะเวลา 1 ชั่วโมงเต็ม ยิ่งประทับใจและน่าเที่ยวชมอีกรอบหรืออีกหลายๆรอบ และเมื่อถึงสถานีที่ที่จะต้องลงสถานีหน้าแล้วยิ่งทำให้ไม่อยากที่จะลงเพราะความสวยงามของทิวทัศน์ข้างทางที่สร้างความประทับใจอย่างมาก และเมื่อข้าพเจ้าลงรถไปสายมรณะแล้วก็เวลาจวนใกล้ค่ำ พระอาทิตย์เริ่มสาดแสงส่องลิบลี่ลงทุกที เสียงนกกาเริ่มร้องมาเพื่อที่จะกลับรัง ถึงเวลาที่เราต้องกลับไปที่พักแล้วซิ เพราะที่พักของข้าพเจ้ากับสถานีนี้มันก็อยู่ไกลกันพอสมควรเพราะฉะนั้นเราควรที่จะกลับกันได้แล้ว
เมื่อถึงที่พักทุกคนต่างแยกย้ายกันไปพักบ้างก็นอนเต็นท์บ้างก็นอนห้องพักที่โรงแรม พอตกกลางคืนแสงจันทร์อันนวลผ่องก็สาดแสงมาให้เราได้พบเห็นความสวยงามของมัน พระจันทร์ที่นวลผ่องส่องแสงลงมา ลมพัดเย็นสบายเหมือนกับกำลังร้องเรียกให้เราบินไปกับมัน แต่พอเดินมาเจอเพื่อนๆที่ต่างนั่งรอเล่นรอบกองไปอยู่นั้นข้าพเจ้าก็ได้เห็นแสงไปส่องมาแต่ไกลนั้นคือไฟที่กำลังลุกโชดช่วงชัชวาลอยู่นั้นเอง เพื่อนๆและตัวข้องข้าพเจ้าเองก็นั่งเล่นรอบกองไฟอย่างสนุกสนาน เมื่อตกดึกดวงดาวต่างๆก็สาดแสงส่องลอดลงมาใต้พุ่งไม้ และดอกไม้เป็นเงาอย่างสวยงาม บ้างก็เป็นรูปสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นกวาง ช้าง หรือสัตว์ต่างๆอีกมากมายนึกถึงว่าเหมือนกับเราได้ไปเที่ยวสวนสัตว์กันในเวลากลางคืนอีกด้วย หิ้งห้อยเริ่มบินลอยวนรอบๆตัวเราบ้างก็มีที่ต้นไม้ ดอกไม้เพิ่มสีสันในยามราตรีให้สวยงามมากยิ่งขึ้น ชวนให้ผู้พบเห็นหลับตาไม่ลงเพราะความสวยงามในยามราตรีสาดแสงเดือน แต่ในวันนี้ข้าพเจ้าต้องขอพักการเดินทางท่องเที่ยวไว้แค่นี้เพราะวันนี้ข้าพเจ้าหน่อยแต่ก็สนุกสนานมากแต่ในวันพรุ่งนี้เราจะมาเริ่มเดินทางท่องเที่ยวกันต่อไปเพราะในวันพรุ่งนี้ยังมีความน่าตื่นเต้น ความสุข ความสนุกรอเราอยู่ในวันพรุ่งนี้
เช้าวันใหม่แลเห็นแสงอาทิตย์สาดส่องต้นไม้ ดอกไม้ มาจากสถานที่ไกลโพ้น ความพลิ้วไหวของทุ่งหญ้าและดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์สีสันสดใสที่ต้องกระแสลม ภาพนั้นมันพาให้อารมณ์นั้นมันหลุดลอยไปไกลแสนไกล ตามกระแสลมไปจนยากที่จะดึงความรู้สึกนั้นคืนกลับมา โดยในตอนนั้นเราจินตนาการว่าเราสิ่งเล่นไปตามทุ่งหญ้าอันสีเขียวขจีและท่ามกลางดอกไม้อันหลากหลายสีสันสดใส จนลืมนึกถึงการอาบน้ำเพื่อที่จะออกเดินทางท่องเที่ยวกันต่อไป โดนวันนี้เราวางโปรแกรมท่องเที่ยวกันไว้ว่า วันนี้เราจะไปชมสุสานสัมพันธมิตร ต่อจากนั้นก็จะไปช่องเขาขาดและตอนกลางคืนเราก็จะไปล่องแพกัน ถ้างันวันนี้เราไปสนุกสนานกันต่อเลยดีกว่า โดยเริ่มต้นกันที่สุสานทหารสัมพันธมิตร สุสานแห่งนี้มีประวัติที่น่ากลัวกันเลยทีเดียว เพราะเกิดจากการเกณฑ์ทหารพันธมิตรมาสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ผ่านกาญจนบุรีไปประเทศพม่าของกองทัพญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นเหตุให้เชลยศึกสัมพันธมิตรเสียชีวิตลงด้วยเหตุต่างๆที่จังหวัดกาญจนบุรีเป็นจำนวนมาก ดังนั้นชาวไทยจึงได้อุทิศที่ดินให้เป็นที่ฝังศพของผู้เสียชีวิต ซึ่งมีอยู่ 2 แห่ คือ สุสานกาญจนบุรีหรือดอนรัก อยู่บริเวณหลังรถไฟจังหวัดกาญจนบุรี โดยสุสานนี้ห่างจากตัวเมืองออกไปทางทิศเหนือประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นสุสานที่มีความสวยงามและความเงียบสงบ และสุสานแห่งนี้บรรจุศพทหารที่เป็นเชลยศกถึง 6982 หลุม และสุสานอีกแห่งหนึ่งก็คือสุสานเขาปูนหรือเรียนอีกอย่างหนึ่งว่าสุสานช่องไก่ บริเวณสุสานนี้เคยเป็นที่ตั้งค่ายเชลยศึกขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปทางแม่น้ำแควน้อยประมาณ 2 กิโลเมตร โดยสามารถเดินทางได้หลายเส้นทางไม่ว่าจะเป็นทางรถยนต์ส่วนตัวเหมือนกับตัวข้าพเจ้าเองก็ต้องนำรถยนต์ข้ามแพขนาดยนต์ที่ท่าเมืองแล้วค่อยแล่นรถไปตามถนนลูกรัง ผ่านหมู่บ้านชาวประมงริมน้ำไป 3 กิโลเมตร โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่สามารถแวะชมเลือกซื้อของฝากประเภทอาหารทะเลไปฝากผู้คนที่อยู่ทางบ้านได้อีกที่หนึ่งด้วย เมื่อแวะซื้อของฝากกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินทางต่อโดยไปสุสานที่เราจะไปนี้ยังห่างจากที่จับจ่ายซื้อหาของฝากอีกประมาณ 3-4 กิโลเมตรเท่านั้น แต่เมื่อข้าพเจ้าเดินทางมาถึงกลับพบว่าสุสานเขาปูนหรือสุสานช่องไก่นี้มีขนาดเล็กกว่าสุสานกาญจนบุรีที่อยู่ในตัวเมืองมากโดยสุสานแห่งนี้จะบรรจุศพของเชลยศึกจำนวนเพียง 1750 ศพเท่านั้นและส่วนใหญ่เป้นทหารชาวอังกฤษ แต่ความสวยงามนั้นงามไม่แพ้กันเลยมีทั้งความเงียบสงบเพราะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนัก เทื่อเราได้ชมความงามของสุสานไปเต็มอิ่มกันแล้วต่อไปเราจะไปเที่ยวชมหุบเขากันบ้างโดยหุบเขาที่เราจะไปนั้นมีความสวยงามและมีประวัติที่น่าค้นหาอย่างมากนั้นคือช่องเขาขาด ซึ่งช่องเขาขาดนี้ตั้งอยู่บริเวณพิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาด อำเภอไทรโยคและเป็นส่วนหนึ่งของทางรถไฟสายมรณะ โดยช่องเขาขาดนี้เป็นภูเขาที่ถูกตัดเป็นช่องเพื่อที่จะทำเส้นทางรถไฟสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และในตอนที่ข้าพเจ้าไปนั้นยังมีร่องรอยของรถไฟปรากฏอยู่บ้าง โดยทางไปเราก็เริ่มจากสานและขับรถตรงไปเรื่อยๆเราจะพบสี่แยกไปถ้ำค้างคาวเลี้ยวขวาและขับรถตรงไปผ่านศาลากลางเลยททท.ไปประมาณ 200 เมตร ผ่านสถานีขนส่งจังหวัดกาญจนบุรีและขับรถตรงไปเขื่อนศรีนครินทร์ให้เลี้ยวซ้ายขับไปเรื่อยๆประมาณ 75 กิโลเมตร ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 64-65 ทางหลวงหมายเลย 323 จะถึงช่องเขาขาด อยู่ทางซ้ายมือ เส้นทางด่อนข้างไกลและสลับซับซ้อนแต่เพื่อการเที่ยวชมภูเขาที่เป็นหลักฐานสำคัญสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ไกลแค่ไกลก็ยอม แต่เมื่อเรามาถึงความเหนื่อยนั้นก็หายไปหมดเลยอาจเป็นเพราะความงามของหุบเขาแห่งนี้ เมื่อเราเที่ยวชมความงามของภูเขา ต้นไม้และสิ่งต่างๆที่อยู่รอบๆช่องเขาขาดแห่งนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็ต้องกลับไปล่องแพชมความงามรอบแม่น้ำแควน้อยกันต่อไปที่จังหวัดแห่งนี้ เหมือนกับทุกครั้งที่เคยมา เมื่อเราเดินทางมาถึงพอเราแค่ก้าวเท้าลงจากลงแค่นั้นก็จะรู้สึกว่าเหมือนกับเราเป็นคนเด่นคนดังของประเทศเลยเพราะมีคนมาถ่ายรูปเราแต่ไม่ต้องตกใจนะค่ะเพราะเค้าถ่ายรูปเราไปเพื่อทำเป็นของที่ระลึกว่าเรามาถึงเมืองกาญจนบุรี
ความสุขที่เราได้มาเที่ยวชมเมืองกาญจนบุรีนี้ยังไม่หมดแค่นี้ เรายังสามารถชมความงามต่างๆได้อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นน้ำตกไทรโยคใหญ่หรือน้ำตกเขาโจนที่อยู่บริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติไทรโยค เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่ไหลตกลงมาจากลำห้วยสู่แม่น้ำแควน้อย โดยใกล้ๆกันยังมีน้ำตกไทรโยคเล็กๆซึ่งมีลักษณะคล้ายๆกันแต่มีขนาดเล็กกว่าแต่น้ำตกทั่ง 2 แห่งนี้มีน้ำไหลตลอดทั้งปีแม้ในฤดูแล้งน้ำตกก็ยังไหลสำหรับคนที่ชอบเที่ยวชมธรรมชาติและเล่นน้ำอีกด้วย และที่สำคัญอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองกาญจนบุรี
ในการเที่ยวชมเมืองที่มากด้วยประวัติที่น่าค้นหา น่ากลัว และแฝงด้วยความสวยงามอยู่ในตัวนั้น สะท้อนให้เห็นว่าทุกคนในโลกนี้ต้องอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข สถานที่หลายแห่งในเมืองนี้มีทั้งประวัติของการสูญเสียและความรัก ความสามัคคี ทำให้การเดินทางมาเที่ยวในครั้งนี้ มีทั้งความสุข สนุก เพราะเมืองนี้มีความความสุข ความสวยงาม ความประทับใจ มีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะที่น่าจดจำอย่างมาก นี้คือความสุขที่แท้จริงของการเดินทางมาเที่ยวที่เมืองแห่งประวัติศาสตร์นี้
คำขวัญนี้หลายท่านอาจร้องอ๋อแล้วว่าคือจังหวัดใด จังหวัดนี้ที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ความน่าสนใจในความทรงจำของข้าพเจ้าอีกเมืองหนึ่งจนอยากจะกลับไปฟื้นฟูความทรงจำในวันนั้นอีกครั้ง เมื่อนึกถึงภาพที่เคยผ่านมายิ่งทำให้รู้สึกถึงบรรยากาศและความทรงจำเดิมๆที่ทำให้นึกถึงอยู่ตลอด หลายๆครั้งที่ข้าพเจ้ามาที่นี้ ความรู้สึกที่ตื่นเต้นและความสวยงามของเมืองแห่งนี้เป็นที่น่าสนใจอย่างมาก มีทั้งความประทับใจ ความอับอาบ ความสุข ความสนุกผสมผสานรวมกันทุกความรู้สึก จังหวัดนี้มีสภาพพื้นที่เป็นเทือกเขาสูงโอบล้อมนั้นคือเมืองกาญจนบุรี
กาญจนบุรีถือเป็นเมืองท่องเที่ยวที่อุดมสมบูรณ์ด้วยทิวเขาสลับซับซ้อน เป็นเมืองที่มีอุทยานแห่งชาติมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย เป็นเมืองที่มีเขื่อนขนาดใหญ่หลายเขื่อน นอกเหนือจากเป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอย่างยาวนานไม่ว่าจะเป็นปราสาทเมืองสิงห์ เส้นทางรถไฟสายมรณะ สะพานข้ามแม่น้ำแคว น้ำตกไทรโยค ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของสีสันที่ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างข้าพเจ้าประทับใจและยังมีนักท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวที่นี้หลายแสนคนในแต่ละปี กาญจนบุรีถือเป็นเมืองท่องเที่ยวทางธรรมชาติโดยแท้ ข้าพเจ้าเองเคยเดินทางไปเมืองกาญจนบุรีประมาณ 2-3 ครั้ง แต่ละครั้งก็ล้วนแต่อยู่ในเขตพื้นที่ท่องเที่ยวหรือไม่ก็ไปเที่ยวเทือกเขาสูงที่อยู่ในความยิ่งใหญ่ของโลกธรรมชาติและส่วนใหญ่เราจะรับรู้ในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำตกหลายสาย สวยงามยิ่งนัก หนึ่งในน้ำตกสายใหญ่ที่สุดคือ น้ำตกไทรโยค มีทั้งน้ำตกไทรโยคใหญ่หรือน้ำตกเขาโจนและน้ำตกไทรโยคน้อยหรือน้ำตกเขาพัง ล้วนแต่น่าสนใจ สายน้ำที่มองเห็นน้ำใส เวลาเราสัมผัสน้ำเย็นจับใจ สามารถลงเล่นได้อย่าสบายกายสบายใจเลย น้ำตกทั้งสองแห่งนี้มีความสวยงามมากที่สุดอีกที่หนึ่ง โดยน้ำตกจะไหลลงมาจากลห้วยสู่แม่น้ำแควน้อย โดยน้ำตกจะมีน้ำไหลตลอดทั้งปีและที่สำคัญฤดูแล้งน้ำตกจะมีความสูงเพิ่มมากยิ่งขึ้นเนื่องจากระดับน้ำในแม่น้ำแควน้อยลดระดับลงทำให้มีสะพานแขวน สะพานนี้ใช้สำหรับข้ามไปชมทัศนียภาพของน้ำตกและลำน้ำที่สวยงามของน้ำตกไทรโยคและที่สำคัญอยากให้ทุกคนได้ลองมาเล่นชมความงามยากเกินจะบรรยายของน้ำตกแห่งนี้ และเมื่อเราเล่นน้ำตกจนพอแล้วเต็มอิ่มไปด้วยความสุขสนุกกันแล้ว เราก็เริ่มต้นเดินทางไปเที่ยวกันต่อเลย โดยเริ่มต้นจากสะพานที่มีชื่อเสียงความความสวยงามไม่แพ้สะพานอื่นๆเลยก็คือ สะพานข้ามแม่น้ำแคว โดยเป็นสถานที่อีกที่หนึ่งที่น่าสนใจของจังหวัดนี้อีกที่หนึ่ง โดยเราจะมาทำความรู้จักสะพานแห่งนี้กันให้มากกว่านี้กันเลยเพื่อที่เราจะได้ทราบถึงประวัติและความเป็นมาของสะพานแม่น้ำแควกันเลยดีกว่า สะพานข้ามแม่น้ำแคว เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่ง โดยสร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกพันธมิตรได้แก่ ทหารอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลีย และฮอลันดา จำนวนมากมายมาสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ผ่านประเทศพม่า โดยมีส่วนหนึ่งจะต้องข้ามแม่น้ำแควใหญ่ การสร้างสะพานและทางรถไฟสายนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะความทารุณของสงครามและโรคภัยตลอดจนขาดสารอาหาร บ้างก็ทำให้เชลยศึกจำนวนหลายหมื่นคนต้องเสียชีวิตลง สะพานข้ามแม่น้ำแควตั้งที่ตำบลท่ามะขาม อำเภอเมือง โดยห่างจากตัวเมือง โดยห่างจากตัวเมืองไปทางทิศเหนือและตามทางหลวงหมายเลข 323 ไปเพื่อนๆก็จะได้พบสะพานข้ามแม่น้ำแควกันแล้วและเมื่อมาสะพานแม่น้ำแควก็จะพบกับรถไฟสายมรณะนะค่ะ โดยรถไฟสายมรณะจะเริ่มต้นจากสถานีหนองปลาดุก อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี วิ่งผ่านมาเรื่อยๆจนกระทั่งถึงจังหวัดกาญจนบุรีข้ามแม่น้ำแควใหญ่ไปทางทิศตะวันตกจนถึงด่านเจดีย์สามองค์ที่เมืองตันบูซายัค ประเทศพม่า รวมระยะทางในเขตประเทศไทยประมาณ 300 กิโลเมตร โดยใช้เวลาในการสร้างทารถไฟเพียง 1 ปีเท่านั้นโดยเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2485 ถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2486 โดยทางรถไฟและรถไฟสายมรณะนี้จะใช้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ผ่านประเทศพม่า หลังสงครามเสร็จสิ้นลงทางรถไฟบางส่วนถูกเลาะทิ้ง บางส่วนจมอยู่ใต้ทะเลสาบเขื่อนเขาแหลม โดยทางรถไฟสายนี้ถือเป้นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงเหตุการณ์สงครามในครั้งนั้นโดยสร้างจากน้ำพักน้ำแรงของการบุกเบิกก่อสร้างของทหารที่เป็นเชลยศึกฝ่ายพันธมิตรที่กองทัพญี่ปุ่นเกณฑ์มา โดยที่ข้าพเจ้าไปนั้นได้นั่งรถไฟเพียงแค่สถานีเดียวแต่ความรู้สึกเหมือนยาวนานมากประมาณ 1 ชั่วโมง โดยทิวทัศน์ตลอดเส้นทางนั้นที่รถไฟแล่นผ่านนั้นสวยงามมากโดยเฉพาะบริเวณถ้ำกระแซ ที่เส้นทางรถไฟสายมรณะจะลัดเลาะไปตามเชิงผาเลียบไปกับลำน้ำแม่น้ำแควน้อยนั้นสวยงามอย่างมากและน่าตื่นเต้นที่สุด เหมาะอย่างยิ่งกับคนที่ชอบความท้าทายโดยที่เวลาเรามองลงไปยิ่งสร้างความตื่นเต้น น่ากลัวกลัวว่าเราจะตกลงไปเหมือนกับเวลาที่เรายืนตรงหน้าผามองลงไปเราเหมือนกับเรากำลังจะตกลงไปด้วย เหมือนกับที่เรามองลงไปที่แม่น้ำที่รถไฟแล่นผ่านไปมันช่างน่ากลัวมากแต่ภายในความน่ากลัวนั้นก็แฝงไปด้วยความสวยงามของทั้ง 2 ข้างทาง โดยข้างหนึ่งจะเป็นแม่น้ำและอีกฝั่งหนึ่งจะเป็นหินผา เป็นความประทับใจที่น่าจดจำอย่างยิ่งแก่ผู้พบเห็นตลอดระยะเวลา 1 ชั่วโมงเต็ม ยิ่งประทับใจและน่าเที่ยวชมอีกรอบหรืออีกหลายๆรอบ และเมื่อถึงสถานีที่ที่จะต้องลงสถานีหน้าแล้วยิ่งทำให้ไม่อยากที่จะลงเพราะความสวยงามของทิวทัศน์ข้างทางที่สร้างความประทับใจอย่างมาก และเมื่อข้าพเจ้าลงรถไปสายมรณะแล้วก็เวลาจวนใกล้ค่ำ พระอาทิตย์เริ่มสาดแสงส่องลิบลี่ลงทุกที เสียงนกกาเริ่มร้องมาเพื่อที่จะกลับรัง ถึงเวลาที่เราต้องกลับไปที่พักแล้วซิ เพราะที่พักของข้าพเจ้ากับสถานีนี้มันก็อยู่ไกลกันพอสมควรเพราะฉะนั้นเราควรที่จะกลับกันได้แล้ว
เมื่อถึงที่พักทุกคนต่างแยกย้ายกันไปพักบ้างก็นอนเต็นท์บ้างก็นอนห้องพักที่โรงแรม พอตกกลางคืนแสงจันทร์อันนวลผ่องก็สาดแสงมาให้เราได้พบเห็นความสวยงามของมัน พระจันทร์ที่นวลผ่องส่องแสงลงมา ลมพัดเย็นสบายเหมือนกับกำลังร้องเรียกให้เราบินไปกับมัน แต่พอเดินมาเจอเพื่อนๆที่ต่างนั่งรอเล่นรอบกองไปอยู่นั้นข้าพเจ้าก็ได้เห็นแสงไปส่องมาแต่ไกลนั้นคือไฟที่กำลังลุกโชดช่วงชัชวาลอยู่นั้นเอง เพื่อนๆและตัวข้องข้าพเจ้าเองก็นั่งเล่นรอบกองไฟอย่างสนุกสนาน เมื่อตกดึกดวงดาวต่างๆก็สาดแสงส่องลอดลงมาใต้พุ่งไม้ และดอกไม้เป็นเงาอย่างสวยงาม บ้างก็เป็นรูปสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นกวาง ช้าง หรือสัตว์ต่างๆอีกมากมายนึกถึงว่าเหมือนกับเราได้ไปเที่ยวสวนสัตว์กันในเวลากลางคืนอีกด้วย หิ้งห้อยเริ่มบินลอยวนรอบๆตัวเราบ้างก็มีที่ต้นไม้ ดอกไม้เพิ่มสีสันในยามราตรีให้สวยงามมากยิ่งขึ้น ชวนให้ผู้พบเห็นหลับตาไม่ลงเพราะความสวยงามในยามราตรีสาดแสงเดือน แต่ในวันนี้ข้าพเจ้าต้องขอพักการเดินทางท่องเที่ยวไว้แค่นี้เพราะวันนี้ข้าพเจ้าหน่อยแต่ก็สนุกสนานมากแต่ในวันพรุ่งนี้เราจะมาเริ่มเดินทางท่องเที่ยวกันต่อไปเพราะในวันพรุ่งนี้ยังมีความน่าตื่นเต้น ความสุข ความสนุกรอเราอยู่ในวันพรุ่งนี้
เช้าวันใหม่แลเห็นแสงอาทิตย์สาดส่องต้นไม้ ดอกไม้ มาจากสถานที่ไกลโพ้น ความพลิ้วไหวของทุ่งหญ้าและดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์สีสันสดใสที่ต้องกระแสลม ภาพนั้นมันพาให้อารมณ์นั้นมันหลุดลอยไปไกลแสนไกล ตามกระแสลมไปจนยากที่จะดึงความรู้สึกนั้นคืนกลับมา โดยในตอนนั้นเราจินตนาการว่าเราสิ่งเล่นไปตามทุ่งหญ้าอันสีเขียวขจีและท่ามกลางดอกไม้อันหลากหลายสีสันสดใส จนลืมนึกถึงการอาบน้ำเพื่อที่จะออกเดินทางท่องเที่ยวกันต่อไป โดนวันนี้เราวางโปรแกรมท่องเที่ยวกันไว้ว่า วันนี้เราจะไปชมสุสานสัมพันธมิตร ต่อจากนั้นก็จะไปช่องเขาขาดและตอนกลางคืนเราก็จะไปล่องแพกัน ถ้างันวันนี้เราไปสนุกสนานกันต่อเลยดีกว่า โดยเริ่มต้นกันที่สุสานทหารสัมพันธมิตร สุสานแห่งนี้มีประวัติที่น่ากลัวกันเลยทีเดียว เพราะเกิดจากการเกณฑ์ทหารพันธมิตรมาสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ผ่านกาญจนบุรีไปประเทศพม่าของกองทัพญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นเหตุให้เชลยศึกสัมพันธมิตรเสียชีวิตลงด้วยเหตุต่างๆที่จังหวัดกาญจนบุรีเป็นจำนวนมาก ดังนั้นชาวไทยจึงได้อุทิศที่ดินให้เป็นที่ฝังศพของผู้เสียชีวิต ซึ่งมีอยู่ 2 แห่ คือ สุสานกาญจนบุรีหรือดอนรัก อยู่บริเวณหลังรถไฟจังหวัดกาญจนบุรี โดยสุสานนี้ห่างจากตัวเมืองออกไปทางทิศเหนือประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นสุสานที่มีความสวยงามและความเงียบสงบ และสุสานแห่งนี้บรรจุศพทหารที่เป็นเชลยศกถึง 6982 หลุม และสุสานอีกแห่งหนึ่งก็คือสุสานเขาปูนหรือเรียนอีกอย่างหนึ่งว่าสุสานช่องไก่ บริเวณสุสานนี้เคยเป็นที่ตั้งค่ายเชลยศึกขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองออกไปทางแม่น้ำแควน้อยประมาณ 2 กิโลเมตร โดยสามารถเดินทางได้หลายเส้นทางไม่ว่าจะเป็นทางรถยนต์ส่วนตัวเหมือนกับตัวข้าพเจ้าเองก็ต้องนำรถยนต์ข้ามแพขนาดยนต์ที่ท่าเมืองแล้วค่อยแล่นรถไปตามถนนลูกรัง ผ่านหมู่บ้านชาวประมงริมน้ำไป 3 กิโลเมตร โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่สามารถแวะชมเลือกซื้อของฝากประเภทอาหารทะเลไปฝากผู้คนที่อยู่ทางบ้านได้อีกที่หนึ่งด้วย เมื่อแวะซื้อของฝากกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินทางต่อโดยไปสุสานที่เราจะไปนี้ยังห่างจากที่จับจ่ายซื้อหาของฝากอีกประมาณ 3-4 กิโลเมตรเท่านั้น แต่เมื่อข้าพเจ้าเดินทางมาถึงกลับพบว่าสุสานเขาปูนหรือสุสานช่องไก่นี้มีขนาดเล็กกว่าสุสานกาญจนบุรีที่อยู่ในตัวเมืองมากโดยสุสานแห่งนี้จะบรรจุศพของเชลยศึกจำนวนเพียง 1750 ศพเท่านั้นและส่วนใหญ่เป้นทหารชาวอังกฤษ แต่ความสวยงามนั้นงามไม่แพ้กันเลยมีทั้งความเงียบสงบเพราะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนัก เทื่อเราได้ชมความงามของสุสานไปเต็มอิ่มกันแล้วต่อไปเราจะไปเที่ยวชมหุบเขากันบ้างโดยหุบเขาที่เราจะไปนั้นมีความสวยงามและมีประวัติที่น่าค้นหาอย่างมากนั้นคือช่องเขาขาด ซึ่งช่องเขาขาดนี้ตั้งอยู่บริเวณพิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาด อำเภอไทรโยคและเป็นส่วนหนึ่งของทางรถไฟสายมรณะ โดยช่องเขาขาดนี้เป็นภูเขาที่ถูกตัดเป็นช่องเพื่อที่จะทำเส้นทางรถไฟสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และในตอนที่ข้าพเจ้าไปนั้นยังมีร่องรอยของรถไฟปรากฏอยู่บ้าง โดยทางไปเราก็เริ่มจากสานและขับรถตรงไปเรื่อยๆเราจะพบสี่แยกไปถ้ำค้างคาวเลี้ยวขวาและขับรถตรงไปผ่านศาลากลางเลยททท.ไปประมาณ 200 เมตร ผ่านสถานีขนส่งจังหวัดกาญจนบุรีและขับรถตรงไปเขื่อนศรีนครินทร์ให้เลี้ยวซ้ายขับไปเรื่อยๆประมาณ 75 กิโลเมตร ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 64-65 ทางหลวงหมายเลย 323 จะถึงช่องเขาขาด อยู่ทางซ้ายมือ เส้นทางด่อนข้างไกลและสลับซับซ้อนแต่เพื่อการเที่ยวชมภูเขาที่เป็นหลักฐานสำคัญสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ไกลแค่ไกลก็ยอม แต่เมื่อเรามาถึงความเหนื่อยนั้นก็หายไปหมดเลยอาจเป็นเพราะความงามของหุบเขาแห่งนี้ เมื่อเราเที่ยวชมความงามของภูเขา ต้นไม้และสิ่งต่างๆที่อยู่รอบๆช่องเขาขาดแห่งนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็ต้องกลับไปล่องแพชมความงามรอบแม่น้ำแควน้อยกันต่อไปที่จังหวัดแห่งนี้ เหมือนกับทุกครั้งที่เคยมา เมื่อเราเดินทางมาถึงพอเราแค่ก้าวเท้าลงจากลงแค่นั้นก็จะรู้สึกว่าเหมือนกับเราเป็นคนเด่นคนดังของประเทศเลยเพราะมีคนมาถ่ายรูปเราแต่ไม่ต้องตกใจนะค่ะเพราะเค้าถ่ายรูปเราไปเพื่อทำเป็นของที่ระลึกว่าเรามาถึงเมืองกาญจนบุรี
ความสุขที่เราได้มาเที่ยวชมเมืองกาญจนบุรีนี้ยังไม่หมดแค่นี้ เรายังสามารถชมความงามต่างๆได้อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นน้ำตกไทรโยคใหญ่หรือน้ำตกเขาโจนที่อยู่บริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติไทรโยค เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่ไหลตกลงมาจากลำห้วยสู่แม่น้ำแควน้อย โดยใกล้ๆกันยังมีน้ำตกไทรโยคเล็กๆซึ่งมีลักษณะคล้ายๆกันแต่มีขนาดเล็กกว่าแต่น้ำตกทั่ง 2 แห่งนี้มีน้ำไหลตลอดทั้งปีแม้ในฤดูแล้งน้ำตกก็ยังไหลสำหรับคนที่ชอบเที่ยวชมธรรมชาติและเล่นน้ำอีกด้วย และที่สำคัญอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองกาญจนบุรี
ในการเที่ยวชมเมืองที่มากด้วยประวัติที่น่าค้นหา น่ากลัว และแฝงด้วยความสวยงามอยู่ในตัวนั้น สะท้อนให้เห็นว่าทุกคนในโลกนี้ต้องอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข สถานที่หลายแห่งในเมืองนี้มีทั้งประวัติของการสูญเสียและความรัก ความสามัคคี ทำให้การเดินทางมาเที่ยวในครั้งนี้ มีทั้งความสุข สนุก เพราะเมืองนี้มีความความสุข ความสวยงาม ความประทับใจ มีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะที่น่าจดจำอย่างมาก นี้คือความสุขที่แท้จริงของการเดินทางมาเที่ยวที่เมืองแห่งประวัติศาสตร์นี้

1 ความคิดเห็น:
เข้ามาตรวจทีเดียวสามงานเลยนะคะ ข่าวแจกหัวกระดาษยังไม่สมบูรณ์ ขาดที่อยู่หรือเบอร์โทรที่ติดต่อกลับได้ สารคดีเวลาเขียนชื่อเรื่องไม่ต้องใส่คำว่า "สารคดีเรื่อง" ก็เขียนไปเลยว่า "กาญจนบุรี เส้นทางของคนชอบลุย" เราเขียนอยู่ตรงกลางหน้ากระดาษ ใช้สีแตกต่าง คนอ่านก็รู้ว่าเป็นชื่อเรื่อง
แสดงความคิดเห็น